โค้ก

Coca-Cola Australia นำผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ใหญ่ที่ชอบผจญภัยในยามค่ำคืน ‘Batch Blends’ ที่เหล่าสาวกสามารถดื่มเพียวๆ ได้ หรือนำไปใช้เป็นมิกเซอร์ หรือจะนำไปปรุงแต่งให้เป็นค็อกเทลก็ได้

Coca-Cola ญี่ปุ่น เก๋ อีกแล้ว เปิดตัวขวดดีไซน์ใหม่เพิ่มเติม โดยนำคีย์เรื่องสถานที่ที่สื่อถึงถึงความสวยงามตามธรรมชาติของญี่ปุ่นและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์มาเล่าบนขวด

Coca-Cola ระเบิดศึกกาแฟครั้งใหญ่ ด้วยการทุ่มเงิน 5.1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เข้าซื้อกิจการร้านกาแฟเบอร์หนึ่งของยุโรป Costa Coffee จากเครือ Whitbread

เพื่อโปรโมทแบรนด์ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิค 2020 ที่จะโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น(Tokyo 2020) Coco-Cola สร้างสีสันอีกแล้ว ด้วยเครื่องมือที่แสนจะเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น …. “เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ” (Vending Machine) แต่ไม่ใช่เครื่องทั่วไป เพราะเครื่องนี้มีชื่อว่า Volleyball Vending Machine มาพร้อมกับความสูงถึง 3.5 เมตร ถ้าอยากดื่มต้องกระโดดสุดตัว

Coca-Cola ตกลงซื้อหุ้นของ Bodyarmor เครื่องดื่มเกลือแร่ ซึ่งเป็นของนักบาสเก็ตบอลชื่อดังอย่าง Kobe Bryant ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สะท้อนภาพความตั้งใจในการขยายพอร์ตโฟลิโอให้มากกว่าเครื่องดื่มน้ำอัดลม

ถ้าเอ่ยถึงชื่อ “โค้ก” (Coke) เชื่อว่าผู้บริโภคคนไทย 99% ต้องรู้จักแบรนด์นี้เป็นอย่างดี แต่ความเป็นจริงแล้วในยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับ Coca-Cola ในฐานะบริษัทเครื่องดื่มชั้นนำของโลก ที่คุณอาจจะยังนึกไม่ถึง และนี่คือ 10 เรื่องของพอร์ตโฟลิโอ้ของโค้ก (ที่ไม่ได้มีแค่โค้ก)

ไอซ์แลนด์(Iceland) คือ ประเทศที่เล็กที่สุด ในการแข่งขันฟุตบอลโลก(FIFA World cup 2018) ในครั้งนี้ โดยมีประชากรราว 330,000 คน และเป็นที่ทราบกันดีว่า นักเตะทีมชาติหลายคน มีอาชีพที่ 2 นอกเหนือจากอาชีพนักฟุตบอล และ Hannes Thór Halldórsson ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีมก็เช่นกัน ที่อาชีพจริงๆ ของเขาก็คือ “ผู้กำกับภาพยนตร์” และเนื่องในโอกาสที่ไอซ์แลนด์ได้เข้ารอบมาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่รัสเซีย โค้ก หนึ่งในสปอนเซอร์หลักของการแข่งขันก็เลือกให้เขาเป็นผู้กำกับโฆษณาโค้กที่ฉายในประเทศไอซ์แลนด์

ช่วงรอมฎอน ชาวมุสลิมหลายล้านคน จะถือศีลอดเป็นเวลา 30 วัน พวกเขาจะอดอาหารและดื่มน้ำตลอดทั้งวันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกดิน ในประเทศที่พลเมืองส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เรื่องนี้เป็นการปฏิบัติทางศาสนา เป็นเรื่องปกติของชาวมุสลิม แต่ในประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนน้อย  ความรู้สึกแตกต่างจึงเกิดขึ้น

Coca-Cola(โค้ก) ในแต่ละประเทศ พยายามเชื่อมโยงคุณค่าของแบรนด์กับผู้คนผ่านกระป๋องโค้กลิมิเต็ดอิดิชั่น  ด้วยการ Localization คุยกับคนในพื้นที่ด้วยการใส่ชื่อแต่ละเมืองลงไปบนแพ็กเกจจิ้ง เช่น ในประเทศญี่ปุ่น เป็นรูป  5 เขตภูมิภาคของญี่ปุ่น  คือ ฮอกไกโด, โตเกียว, เกียวโต คุมาโมโตะ และเซโตอุจิ ต่อมาไอเดียดังกล่าวก็ปรากฏที่ไทยผ่านไอคอนสัญลักษณ์ของจุดหมายในการท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยจำนวน 24 ลาย

โค้กเล่นใหญ่!  ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้แบบ AR ไฮเทคเฉพาะในจีน  ให้ลูกค้าผู้บริโภคเปิดแอปพลิเคชั่น Alipay (ของอาลีบาบา) ซึ่งเป็นแอป mobile payment อันดับหนึ่งที่นั่น แล้วสแกน QR code บนกระป๋องหรือขวด

กลยุทธ์การตลาดทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่มี “ข้อดี” และ “ข้อเสีย” ในตัวเอง เหมือนเช่นกลยุทธ์ “โปรโมชั่น” หนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่ถูกนำมาใช้ตลอดทุกยุคสมัย ในรูปแบบหลากหลาย เช่น ซื้อ 1 แถม 1, ชิงโชค หรือลุ้นรางวัล (Lucky Draw), ลดราคา, เปิดปุ๊ป รับปั๊ป (Instant Win), แลกซื้อ, คูปองส่วนลด หรือคูปองเงินสด ฯลฯ

การทำตลาด “น้ำอัดลม” เข้าสู่ยุคที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคมากขึ้น ทั้งทางฟังก์ชั่นและอีโมชั่น ล่าสุด โคคา – โคลา เป็นแบรนด์ล่าสุดที่ประกาศถึงความเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากเปิดตัว Diet Coke ในตลาดเครื่องดื่มซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี โค้กเพิ่มเติมไลน์สินค้ารสชาติอื่นๆ ในกลุ่ม Diet Coke และความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติเท่านั้น แต่ยังสะท้อนออกมาทั้งในเรื่องการออกแบบโลโก้ แพคเกจจิ้ง และการสื่อสารการตลาดที่ทั้งหมด “เป็นกลางทางเพศและสะท้อนภาพความหลากหลายมากขึ้น” ในทุกแง่มุม

การแข่งขันของเครื่องดื่มในหน้าร้อนปีนี้ คึกคักและงัดไอเดียเด็ดออกมาให้เห็นกันแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยสิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุด คงจะเป็น “บรรจุภัณฑ์” (Packaging) ท่ามกลางโจทย์ทางการตลาดที่แสนจะยาก เพราะว่าสินค้ามีความใกล้เคียงกันสร้างความแตกต่างได้ยาก ในปีนี้ทั้ง 2 แบรนด์ย้อนกลับไปที่กลยุทธ์การตลาดของตัวเอง โดยโค้ก เลือกที่จะสร้างความประทับใจให้กับคนไทยด้วยการ Localization คุยกับคนในพื้นที่ด้วยการใส่ชื่อแต่ละจังหวัดในประเทศไทยลงไปบนแพ็กเกจจิ้ง ในขณะที่เป๊ปซี่ อาศัยตำนานของแบรนด์ เนื่องในโอกาส 120 ปี ของแบรนด์ ดึงเอาแพ็กเกจจิ้งที่โดดเด่นและยังประทับใจลูกค้าในแต่ละยุคสมัยมานำเสนอ

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ “โคคา-โคลา” หรือ “โค้ก” ยังคงสร้าง Wow! Experience ให้กับผู้บริโภคมาตลอดทุกยุคสมัย คือ การสร้างกระแสผ่าน “แพ็คเกจจิ้ง” ด้วยการออกรุ่น Limited Edition หรือสินค้าวางจำหน่ายในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยขวดโค้ก Limited Edition มาพร้อมกับดีไซน์ ที่ใครเห็นเป็นต้องซื้อเก็บสะสม อย่างล่าสุด “โคคา-โคลา ประเทศญี่ปุ่น” เปิดตัว “โค้ก รสดั้งเดิม” ในแพ็คเกจจิ้งขวดอลูมิเนียมลาย “ดอกซากุระ” สีชมพูสดใสโฉมใหม่เวอร์ชันปี 2018 …

Coca-Cola ที่ Mexico หยิบเอาหมีขาว Polar Bear ซึ่งเป็นหนึ่งใน Iconic ของแบรนด์มาใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญบนแพ็กเกจจิ้งพิเศษเฉลิมฉลองช่วงเทศกาล โดยดีไซน์นี้มีกิมมิคเล็กๆ ให้ผู้บริโภคช่างสังเกต มองหาความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน

คอบอลคุ้นเคยกับการเห็นแบรนด์สินค้าหรือบริการต่างๆ ติดโฆษณาบนหน้าอกเสื้อนักฟุตบอลที่เป็นคนจริงๆ  แต่จากนี้ไปจะนักบอลในวิดิโอเกมก็จะมีสปอนเซอร์ติดอกเสื้อบ้างแล้ว

ตอนนี้ Coca-Cola ออสเตรเลียกำลังวางจำหน่ายกระป๋องคอลเลกชั่พิเศษ Limited Edition ซึ่งออกแบบมาโดยใส่กิมมิคเล็กๆ เพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุนเรื่องสิทธิสมรสสำหรับเพศเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ยังมีบิลบอร์ดสีรุ้งที่สนับสนุนแคมเปญนี้ด้วย

เวลานี้ใครๆ ก็หันมาใส่ใจสุขอนามัยในการบริโภคมากขึ้น อย่างกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นสาย Healthy ต่างให้ความสำคัญในการพิถีพิถันเลือกอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะ “เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำ” กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพและเติมความสดชื่นได้เป็นอย่างดี โดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องเป็นกังวลกับน้ำตาลและพลังงานสูงๆ นับเป็นเทรนด์ใหม่ที่ผู้บริโภคต่างมองหา

ในบรรดา Soft Drinks ที่มีมากมายหลายประเภท หนึ่งในเครื่องดื่มที่คนบริโภคเป็นอันดับต้นๆ คือ “น้ำอัดลม” (Carbonated Drinks) และในกลุ่มน้ำอัดลม “โคล่า” หรือน้ำดำได้รับความนิยมมากที่สุด แต่เมื่อเอ่ยถึงเครื่องดื่ม “โคล่า” ไม่ว่าจะไปประเทศไหน ภูมิภาคใดของโลก มีสองแบรนด์ยักษ์ใหญ่ครองตลาดมาเป็นเวลายาวนาน คือ “โค้ก” และ “เป๊ปซี่” จนทำให้ผู้บริโภคคุ้นชินกับรสชาติของสองแบรนด์ ประกอบกับการมีเครือข่ายจัดจำหน่ายที่ทรงพลัง จึงสามารถเข้าถึงทุกช่องทางการขาย ทำให้แบรนด์ท้องถิ่นที่เข้ามาท้าชนโดยตรงกับสองยักษ์ใหญ่ ต้องใช้สรรพกำลังมหาศาล เพื่อที่จะแข่งขันในตลาดได้ ทว่า การเข้าสู่ตลาดน้ำดำของ “MUJI” ซึ่งขณะนี้มีจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น …

เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ตลาดน้ำอัดลมในสหรัฐอเมริกา เมื่อ “The Coca-Cola Company” สำนักงานใหญ่ที่แอตแลนตา ได้ประกาศถอด “โคคา-โคลา ซีโร่” (Coca-Cola Zero) หรือที่เรียกติดปากกันว่า “โค้ก ซีโร่” (Coke Zero) ออกจากตลาดสหรัฐฯ พร้อมแทนที่ด้วย “โค้ก ซีโร่ ชูการ์” (Coca-Cola Zero Sugar) ที่ปรับทั้งชื่อ รูปลักษณ์ และสูตรใหม่ให้มีความใกล้เคียงกับโค้กออริจินัลมากขึ้นกว่าเดิม โดยมีแผนวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากที่ …

แม้ว่าในช่วงสงกรานต์ที่เป็นช่วงวันหยุดยาวของใครหลายคน แต่ในมุมมาร์เก็ตติ้ง หรือการทำตลาดนั้นสามารถดึงโอกาสวันหยุดยาวเช่นนี้มาสร้างความเคลื่อนไหว (movement) ผ่านกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แบรนด์ได้เข้าถึงและใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

James Quincey ซีอีโอคนใหม่ของ “โคคา-โคลา” รับตำแหน่งต่อจาก Muhtar Kent (มีผล 1 พฤษภาคมนี้) ได้กล่าวว่า บริษัทจะลดการจ้างงาน 1,200 ตำแหน่ง หรือลดลง 20% ซึ่งจะมาจากพนักงาน 5,500 คนทั่วโลกที่ทำงาน หรือรายงานตรงต่อสำนักงานใหญ่ “โคคา-โคลา” ในแอตแลนตา การใช้นโยบายลดการจ้างงาน เพื่อปรับการดำเนินงานขององค์กรให้กระชับ คล่องตัว และมุ่งโฟกัสมากขึ้น ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดค่าใช้จ่ายในองค์กรให้ได้ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2019 …

เมื่อเอ่ยถึงน้ำอัดลม มักถูกมองว่าเป็นวายร้ายบั่นทอนสุขภาพ แม้บรรดาผู้ผลิตต่างพยายามคิดค้นหาสูตรที่จะช่วยให้ไม่มีผลต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสูตร Light สูตร Diet หรือแม้แต่สูตรน้ำตาล 0% เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ที่มีปัญหาสุขภาพ และคนห่วงสุขภาพ แต่ยังชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลม แต่ถึงอย่างไรภาพลักษณ์น้ำอัดลมก็ยังเดินขนานกับเรื่องสุขภาพมาโดยตลอด อีกทั้งในช่วงกว่า 10 ปีมานี้ พัฒนาการของตลาดน้ำอัดลมแทบไม่มีนวัตกรรมใหญ่ๆ มาเขย่าตลาด กระทั่งล่าสุด “Coca-Cola” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ล่าสุด “Coca-Cola Plus” ในตลาดญี่ปุ่น ด้วยนวัตกรรมใหม่นี้จะทำให้ “น้ำอัดลม” กับ “สุขภาพ” เดินมาบรรจบเส้นเดียวกัน …

เราเคยพูดถึงหัวข้อที่ว่า AI จะมาแทนการทำงานของมนุษย์ได้หรือไม่ เหมือนที่เครื่องจักรหลายอย่างได้ถูกนำมาแทนแรงงานมนุษย์ไปแล้ว หลายฝ่ายยังเชื่อว่าแม้ AI จะฉลาดแค่ไหน แต่งานที่ต้องใช้สติปัญญาในแง่ของความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการก็ยังต้องอาศัยมนุษย์อยู่ดี เพราะฉนั้นงานที่ใช้สมองในแง่ของอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าเหตุผลและหลักการน่าจะห่างไกลจากการโดน AI แย่งงาน

หลังจากยอดขายของน้ำอัดลมลดลงโค้ก(Coke) และเป๊ปซี่(Pepsi) กำลังเล็งไปที่ธุรกิจน้ำเปล่าในการเป็นตัวช่วยพยุงธุรกิจขึ้นมา เนื่องจากปัจจุบันในสหรัฐยอดขายของน้ำเปล่าบรรจุขวดเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตัวจากเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา จากปริมาณการซื้อเครื่องดื่มรวมทั้งหมด 1.17 หมื่นล้านแกลลอนในปี 2015 อย่างไรก็ตามธุรกิจนี้ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างมากในตลาดต่างประเทศ

ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท นับเป็นขุมทรัพย์การตลาดใหญ่ แต่กลับมีผู้ประกอบการไม่กี่รายที่ “ครองตลาด” อยู่ โดยที่มีบทบาทอยู่ในเกมการแข่งขันหนีไม่พ้น 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ เช่นโคคา-โคล่าหรือโค้ก (Coca Cola) และเป๊ปซี่ (Pepsi) ซึ่งไล่บี้ขยี้กันมาตลอด กระทั่งตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเป๊ปซี่เผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อพยายามเดินเกมขึ้นควบการผลิตเอง พันธมิตรสำคัญอย่าง บริษัท เสริมสุข จำกัด(มหาชน)ที่เคยเป็นบ็อทเลอร์มาอย่างยาวนานเป็นอันต้องยุติแตกหักกันไป และเกิดแบรนด์น้ำอัดลมสัญชาติไทย “เอส” (Est) ขึ้นมาแข่งตีคู่โกลบอลแบรนด์

เคยสังเกตกันไหมว่า ? เวลาเราเข้าไปกินอาหารตามร้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชนร้านอาหาร หรือแม้แต่ร้านอาหารทั่วไป รวมถึงสตรีทฟู้ด เครื่องดื่มที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมสั่งมากินคู่กับมื้ออาหารนั้นๆ หนีไม่พ้น “โคล่า” ยิ่งกินคู่กับอาหารรสจัด กับโคล่าเย็นๆ ซ่าๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าอาหารจานนั้น หรือมื้อนั้นอร่อยมากขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้บริโภคถูกสร้างพฤติกรรมให้คุ้ยเคยกับการดื่มโคล่าคู่กับมื้ออาหารมานาน เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์น้ำอัดลม ทั้ง “เป๊ปซี่” “โค้ก” รวมถึง “เอส” ใช้ในการขยายโอกาสการดื่ม นอกเหนือจากการดื่มระหว่างวัน เพื่อสร้างความสดชื่น แน่นอนว่าการสร้างโอกาสการดื่ม ให้เข้าถึงทุกช่วงเวลาของวัน ต้องมาพร้อมกับ “ระบบจัดจำหน่าย” ที่ทรงประสิทธิภาพ …

“ทุกบ่ายไม่เอาท์ เราซ่ากับโค้ก” ถือว่าเป็นแคมเปญใหญ่ของ “โค้ก” ในช่วงครึ่งปีหลัง สร้างปรากฏการณ์ทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ ให้แฟนของโค้กได้สัมผัสประสบการณ์ความสดชื่นทุกๆ รูปแบบ เพื่อเติมความซ่าให้คนวัยเรียนและทำงานให้เย็นฉ่ำ แก้ง่วงยามบ่าย โดยอาศัยอินไซต์ที่ว่าผู้บริโภคปัจจุบันมักรู้สึก Fear Of Missing Out (FOMO) หรืออาการกลัวพลาดกระแส

Tereza Cenic อาร์ตไดเร็กเตอร์ และกราฟิค ดีไซน์เนอร์ สร้างสรรค์ผลงานที่ชื่อว่า “Power of Togetherness” ออกมา โดยใช้แบรนด์ Coca-Cola เป็นต้นแบบ ดึงเอาไอค้อนที่สำคัญของแบรนด์นั่นก็คือขวดแก้วโค้ก ซึ่งเพียงแค่รูปร่างของขวด ก็ทรงพลังพอที่จะสร้างความรู้สึกผูกพันกับผู้บริโภคได้แล้ว

VR (Virtual Reality) มาแรงจริงๆ เมื่อล่าสุดแมคโดนัลด์ที่สวีเดน เปิดตัวกล่อง Happy Meal รุ่นใหม่ เมื่อทานอาหารหมดแล้ว ก็ใช้เป็นกล่องดู VR แบบง่ายๆได้  โดยโปรโมชั่นนี้ชื่อว่า “Happy Goggles” โดยกล้องตัวนี้จะลักษณะคล้ายกับแว่น “Google cardboard” ซึ่งทำจากกระดาษแข็งและเลนส์พลาสติคเช่นกัน