Donald Trump

จากคู่หูที่ดูมีอนาคต และเคยเป็นความหวังว่าจะทำให้สหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง วันนี้ การแท็กทีมกันของ Elon Musk เจ้าพ่อวงการเทคโนโลยี-อวกาศ และ Donald Trump ประธานาธิบดีคนดังจากสหรัฐอเมริกา ได้ปิดฉากลงแล้ว กับการปะทะกันอย่างเป็นทางการผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก

เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 โดนัลด์ ทรัมป์(Donald J. Trump) ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.  และเพียงแค่ 12 ชั่วโมงแรก ของการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งของเขา ก็ได้มีการลงนามในคำสั่งบริหารหลายฉบับที่มีผลกระทบต่อประเทศ ในหลายด้าน ดังนี้:

สุดยอดนักขาย “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาเปิดตัวน้ำหอมในชื่อ Fight, Fight, Fight โดยมาพร้อมสโลแกนว่าเป็น “น้ำหอมที่ศัตรูไม่อาจต้านทาน” แถมมีการใช้ภาพของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอย่าง Jill Biden ในการโปรโมตน้ำหอมด้วยผ่านสื่อโซเชียลด้วย

โดนัล ทรัมป์ คว้าชัยชนะ ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 สำเร็จ และเป็นการ “กลับมาครั้งที่ 2” หลังจากพ่ายแพ้ให้กับโจ ไบเดนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 โดยศึกการเลือกตั้งครั้งนั้นยังนำไปสู่กรณีอื้อฉาวกับภาพของผู้ประท้วงจำนวนมากไปรวมตัวกันก่อเหตุจราจลที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 6 มกราคม 2021 ด้วย

แอปพลิเคชันน้องใหม่มาแรง “Truth Social” ที่มีผู้สนับสนุนเป็นคนดังอย่างอดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เริ่มออกสตาร์ทแล้ว โดยมีรายงานจากรอยเตอร์ว่า แอปพลิเคชันดังกล่าวเริ่มเปิดให้เข้าใช้งาน (Soft Launch) เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และประสบปัญหาในการเข้าใช้งาน (แอปล่มนาน 13 ชั่วโมง) นอกจากนั้น ก็มีเหตุการณ์ไม่อนุมัติการสร้างแอคเคาน์จนมี Waitlist มากกว่า 300,000 ราย

  ถูกบล็อคจากสื่อโซเชียลไปนานจนหลายคนเกือบลืมว่ามีบุคคลคนนี้อยู่ แต่หากเอ่ยถึงเหตุการณ์จลาจลที่ Capitol Hill เมื่อ 6 มกราคม 2021 ก็เชื่อว่าหลายคนพร้อมจะจำเขาได้ทันที โดยวันนี้ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กลับมาอีกครั้งพร้อมบริษัทใหม่ที่ตั้งเป้าสร้างแพลตฟอร์ม “ตัวตายตัวแทน” สื่อโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter – Facebook – YouTube แล้ว

ใครที่คิดถึงสีสันที่โลกโซเชียลมีเดียเคยมี เมื่อสมัยที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังอยู่ในตำแหน่ง ล่าสุดที่ทางเฟซบุ๊ก (Facebook) ได้ออกมาประกาศแล้วว่า พวกเขาจะเปิดให้แอคเคาน์ของโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาอีกครั้ง (ทั้ง Facebook และ Instagram) ในเดือนมกราคม 2023 หรือประมาณหนึ่งปีครึ่งนับจากนี้

ใครที่ยังคิดถึง “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ถูกแบนจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ เนื่องจากเหตุการณ์จลาจลที่ Capitol Hill เมื่อ 6 มกราคมที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะรออีกไม่นานแล้ว เพราะอดีตที่ปรึกษาอาวุโสของโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาเปิดเผยว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของโดนัลด์ ทรัมป์นั้นพร้อมสำหรับการเปิดตัวในอีก 3 – 4 เดือนข้างหน้านี้แน่นอน

ความซับซ้อนของประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นต้นแบบประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ทวิตเตอร์ (Twitter) เฟซบุ๊ก (Facebook) ยูทูบ (YouTube) และอีกหลากหลายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่บรรดาผู้ก่อตั้งมักจะบอกว่า ตั้งใจให้แพลตฟอร์มของตนเองเป็นพื้นที่ที่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

Rebel-Kitchen เป็นแบรนด์อาหารที่มุ่งเน้นการสร้างทางเลือกใหม่ด้านสุขภาพให้กับผู้บริโภค โปรดักท์เด่นของพวกเขาก็คือ “นม” ที่ตั้งใจเล่นคำสะกด MYLK แทนที่จะเป็น MILK โดยวางคอนเซ็ปท์เอาไว้ว่าอาหารของพวกเขาจะ ขบฎ ต่อความเชื่อเดิมๆ และเพื่อทำคาแร็กเตอร์ดังกล่าว ชัดเจนขึ้น ล่าสุดทางแบรนด์ Rebel-Kitchen ทำป้ายโฆษณาเอาท์ดอร์ สื่อสารถึงประธานาธิบดี Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) ไม่ว่าจะเป็น F___ OFF หรือ Trump’s an ass โดยใช้แสงจากป้ายโฆษณาเป็นเครื่องมือเปลี่ยนข้อความ

ไม่เฉพาะโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook, Twitter ฯลฯ ที่ออกมาประกาศปิดแอคเคาน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้อื้อฉาวไปทั่วโลก เพราะถึงตอนนี้ แม้แต่ผู้ให้บริการทางการเงินก็ประกาศระงับการให้บริการกับแอคเคาน์ของโดนัลด์ ทรัมป์แล้วเช่นกัน

แพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (Twitter) เล่นบทโหด ประกาศแบนแอคเคาน์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เป็นการถาวรแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ผู้ใช้มีพฤติกรรมละเมิดนโยบายของบริษัท ด้านทรัมป์ ไม่ง้อ ใช้แอคเคาน์ประธานาธิบดี @POTUS สวนกลับว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาสร้างแพลตฟอร์มเอง และจะไม่ยอมเงียบเด็ดขาด

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่าตนเองนั้น ติดเชื้อ Covid-19 เรียบร้อย

  น่าสนใจทีเดียวสำหรับ TikTok แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานไม่ถึงร้อยล้านคนในสหรัฐอเมริกา และมีต้นกำเนิดจากนักพัฒนาในจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง ByteDance ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” กังวลอย่างมาก จนต้องใช้คำสั่งพิเศษ (Executive Orders) เพื่อแบนแอปพลิเคชันดังกล่าวให้พ้นแดนอินทรี หรือมิเช่นนั้นก็ต้องขายกิจการเพื่อจะได้มั่นใจว่าจะไม่มีการแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานกลับไปยังจีนแผ่นดินใหญ่

หลังจากดื้อแพ่งมาตลอด และไม่เคยยอมใส่ “หน้ากาก” Mask ต่อหน้าสาธารณชน เพื่อยืนยันว่า Covid-19 ไม่ร้ายแรง และอเมริกันชนมีสิทธิเสรีภาพที่จะว่าอยากใส่มาสก์ในที่สาธารณะหรือไม่ แต่ในที่สุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์(Donald Trump) ก็ยอมใส่ Mask แล้ว

  ความเห็นต่างระหว่างสองแพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์กปะทุ เมื่อซีอีโอคนดังจาก Facebook ออกมาให้ความเห็นสวนทางกับสิ่งที่ Twitter ทำ อย่างการใส่ข้อความ Fact-Checking หน้าทวีตของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเรื่องการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่านทางไปรษณีย์

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงกับจี๊ด เมื่อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter ออกโรงเตือนผู้ใช้งานให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเวลาที่เห็นทวีตของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

ขึ้นชื่อว่าเงินช่วยเหลือไม่ควรมีอุปสรรคในการเบิกจ่าย อย่างไรก็ดี กระทั่งประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา การแจก “เงินช่วยเหลือ” ผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ Covid-19 ก็ไม่อาจส่งถึงมือผู้รับได้โดยง่าย เพราะมีรายงานว่า ทางกระทรวงการคลังของสหรัฐมีคำสั่งให้พิมพ์ชื่อประธานาธิบดี “โดนัลด์ เจ.ทรัมป์” ลงบนเช็คก่อน ถึงจะจัดส่งได้ ซึ่งอาจทำให้การจัดส่งเช็คต้องล่าช้าไปอีกระยะหนึ่ง

นับว่าเป็นมาตรฐานการใช้โซเชี่ยลมีเดียสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่น่าสนใจไม่น้อย เมื่อศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐอเมริกา ยืนยันตามศาลชั้นต้นตัดสินว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถบล็อคความคิดเห็นผู้ใช้งานทวิตเตอร์ซึ่งแสดงความคิดเห็นต่างจากเขาได้ ในแอคเคานท์ทวิตเตอร์ @realDonaldTrump

สำหรับใครที่ติดตามความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา – จีนแผ่นดินใหญ่กันมา ข้อพิพาทระหว่าง Huawei – Google ในตอนนี้น่าจะเป็นภาพของสงครามตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดกรณีหนึ่ง โดยล่าสุด แม้จะมีการผ่อนผัน ที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาเลื่อนเวลาให้ Huawei สามารถอัพเดท และรับเซอร์วิสต่าง ๆ จาก Google ได้อีก 90 วันเพื่อจะได้สามารถเปลี่ยนถ่ายจ่ายโอนการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น แต่หลังจากวันที่ 19 สิงหาคม 2019 ถ้ายังไม่มีการถอดชื่อของ Huawei ออกจากบัญชีดำของสหรัฐอเมริกา ก็คงแน่นอนแล้วว่า …

เวลาที่ช้างสารชนกัน “หญ้าแพรก” ทั้งหลายก็พลอยแหลกลาญไปด้วย คำพูดนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นใกล้ตัวเราเข้ามาทุกทีๆ หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศ “สงครามการค้า” กับ จีนอีกระดับหนึ่ง โดยขึ้นอัตราภาษีสินค้าที่ผลิตในจีนเป็น 25% จากเดิม 10% รวมทั้งมีการแบน Huawei ไม่ให้ใช่เซอร์วิสอื่นๆ จาก Google นอกเหนือจาก  Android Open Source Project (AOSP) ซึ่งเป็นระบบเปิด ก่อนที่จะกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาต้องออกมาผ่อนปรน 90 วัน หลังจากประเทศจีนตอบโต้อย่างหนักด้วยการขู่ว่าจะไม่ส่งแร่ซึ่งใช้ผลิตชิพที่ต้องใส่ในโทรศัพท์ให้กับบริษัทจากสหรัฐอเมริกา

หลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Tump เรียกชื่อ Tim Cook ผิด เป็น Tim Apple ในการประชุม American Workforce Policy Advisory Board  ซึ่งทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวกลายเป็นไวรัล เพราะการเรียกชื่อจริง ตามด้วยชื่อบริษัทแบบนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นวัฒนธรรมตะวันตก

ภายในการประชุม American Workforce Policy Advisory Board (คณะกรรมการที่ปรึกษานโยบายแรงงาน) ในช่วงหนึ่งของการประชุม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวชื่นชม ซีอีโอของ Apple บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา แต่กลายเป็นว่าความจริงเปิดเผยว่า เขาจำนามสกุลของนักธุรกิจคนดังคนนี้ไม่ได้ โดยเขาพูดว่า

ในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา มีพาดหัวข่าวทำให้มีการพูดคุยเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) นั้นไม่ได้สนใน 5G เท่าไหร่นัก เพราะ Mr. President ต้องการให้ข้ามไปที่ 6G เลย โดยทรัมป์ประกาศผ่านทวีตว่า เขาต้องการจะเห็น 6G ในอเมริกาพร้อมๆ กับ 5G อย่างเร็วที่สุด

กลายเป็นศึกใหญ่ระหว่างความเป็นส่วนตัวของเซเลบบริตี้ กับสื่อมวลชน เมื่อมีแชทลับของ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Amazon หลุดออกมาเผยแพร่ โดยข้อความในแชทลับเป็นเรื่องที่เขาส่งหาผู้ประกาศสาวคนดังอย่าง Lauren Sanchez  จนคาดการณ์กันว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ Jeff หย่าขาดจากภรรยา ด้วยเหตุนี้เอง Jeff จึงออกมาปะ ฉะ ดะ กับ American Media Inc (AMI) และ National Enquirer สื่อที่นำข้อความดังกล่าวมาเผยแพร่ 

ไม่แน่ใจว่าอยากล้อเลียน หรือทำจริงจัง เพราะห้างสรรพสินค้าดังใจกลางเมืองไท่หยวน มณฑลซ่านจีน ทางตอนเหนือของประเทศจีน ได้นำหุ้นรูปปั้นสุนัขลำตัวสีขาวผมสีทองขนาดยักษ์ทำหน้าจริงจัง มือด้านหนึ่งชี้นิ้วขึ้นฟ้า มีปลอกคอสีแดง ดูคลับคล้ายคลับคลาหน้าตา ท่าทาง และลักษณะประจำตัวของ ประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ มาตั้งหน้าห้าง ตั้งแต่เทศกาลคริสต์มาส 2017 เป็นไฮไลท์ที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องเข้ามาแอคท่าถ่ายรูปคู่ด้วย

  ไม่ใช่แค่ประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ลุกเป็นไฟ จากความคิดทางการเมืองที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน แต่ทั่วโลกต่างก็ได้รับผลประทบไปไม่มากก็น้อย กับนโยบายทางการเมืองของ “โดนัลด์ ทรัมป์” (Donald Trump)  ทั้ง การแบนมุสลิม การสร้างกำแพงยักษ์เพื่อกั้นชาวเม็กซิโก การยกเลิกประกันสุขภาพ Obamacare รวมถึงนโยบาย American First

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐลงนามในคำสั่งปิดกั้นการเข้าประเทศของกลุ่มประเทศมุสลิม 7 ประเทศ ได้แก่ อิรัก อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และเยเมน โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลอย่างต่ำ 90 วัน ที่สั่งห้ามประชากรจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐโดยเด็ดขาด แม้จะเป็นคนที่มีวีซ่าอยู่แล้วก็ตามถือเป็นการเริ่มดำเนินตามนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้ในก้าวแรก หลังเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มมีความเคลื่อนไหว หนึ่งในนั้นคือ Apple ที่ได้รับผลกระทบจากการแบนชาวมุสลิมครั้งนี้ เพราะบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ล้วนมีพนักงานที่มาจากหลายเชื้อชาติเป็นส่วนขับเคลื่อนธุรกิจ

ระบบเว็บไซต์ภายในส่วนพนักงานของ Apple มีพื้นที่สำหรับการตั้งคำถามและพูดคุยกับผู้บริหาร ประเด็นหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาคือเรื่องของการที่ซีอีโอ Tim Cook เข้าร่วมการประชุมกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ Donald Trump โดยหัวข้อดังกล่าวกล่าวว่า “ทำไม Tim Cook  ถึงรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องไปพบ Trump” คำตอบสั้นๆ คือ “เราต้องไปเพื่อแสดงความคิดเห็น”

มีความกังวลมากมายเกี่ยวกับอนาคตของโลกในมือโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะกับชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นชาวสหรัฐผิวขาวเพราะจากการที่ทรัมป์เคยประกาศนโยบายที่เรียกได้ว่านอกจากกลุ่มดังกล่าวก็เหมือนจะไม่เอาใครเลย ชาวเอเชียอย่างเราๆ ก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ทรัมป์จ้องจะกันออกนอกวงโคจร อย่างการประกาศว่าจะจัดการกับจีนและญี่ปุ่นในแง่ของการค้าที่ขาดดุลและกล่าวว่าจีนเป็นตัวบงการความผันผวนของค่าเงิน รวมทั้งเขาพร้อมที่จะเจรจาสัญญาทางการค้า TPP ใหม่ เป็นต้น