อเมซอน

Amazon เตรียมเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่ คาดแตะ 30,000 คน พร้อมลุยปรับโครงสร้างองค์กร หวังลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และเพิ่มการใช้ AI ให้มากขึ้น ขณะที่นักลงทุนตอบรับข่าวนี้ ทำราคาหุ้น Amazon ปรับตัวขึ้น 1.2%

ถึงเวลาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน “Andy Jassy” ซีอีโอ Amazon หนึ่งในบิ๊กโฟร์สัญชาติอเมริกัน ออกมาปลุกใจพนักงานรอบใหม่ ชี้ต้องทำงานเหมือนเป็น “สตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ล่าสุดอาจมีการปรับโครงสร้างองค์กร ลดพนักงานระดับ “ผู้จัดการ” ลง เพื่อให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น และมีแผนยกเลิกการทำงานแบบ Work From Anywhere โดยให้เวลาพนักงานถึง 2 มกราคม 2025 กลับสู่ระบบการทำงานแบบเข้าออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์

อเมซอน เว็บ เซอร์วิส หรือ AWS โชว์ผลสำรวจ การมีทักษะด้าน AI ช่วยเพิ่มเงินเดือนได้ คาดอีก 5 ปีข้างหน้า 92% ของนายจ้างจะใช้วิธีแก้ปัญหาธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ขณะที่ต้นทุนในการเข้าถึง AI ของคนไทยอยู่ในราคาหลักพันบาทต่อคนต่อเดือน และอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มปรับใช้ AI เร็วที่สุดคือ การเงิน ภาคการผลิต และภาคการบริการ

Amazon เริ่มทดสอบหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ หรือหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ในคลังสินค้าของตนเองแล้ว พร้อมบอกว่า การนำหุ่นยนต์ดังกล่าวเข้ามาช่วยนั้น ไม่ได้ต้องการแทนที่พนักงานมนุษย์ แต่เพื่อลดโอกาสที่พนักงานจะบาดเจ็บ หรือเบื่อจากการทำงานซ้ำเดิม เช่น การก้มหยิบกล่องสินค้าอยู่ตลอดเวลา ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้นอกจากจะเป็นงานรูทีนแล้ว ยังอาจทำให้กล้ามเนื้อหลัง หรือเข่าของพนักงานอักเสบได้นั่นเอง

เชื่อว่าสำหรับธุรกิจสตรีมมิ่ง การปรากฏตัวของ “Prime VDO” บริการสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่จาก Amazon ย่อมเป็นที่จับตาไม่ว่าจะย่างก้าวเข้าไปที่ตลาดไหน และก็ต้องยอมรับว่า ในเวลานี้ ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย กำลังได้รับสิทธิ์ที่จะถูกจับตานั้น เมื่อทีมจาก Prime VDO เริ่มเปิดเกมรุกครั้งใหม่กับการเปิดตัวออริจินัลคอนเทนต์ ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ด้วยซีรีย์ Comedy Island หรือชื่อไทยว่า “ภารกิจฮาแหกเกาะ” ที่รวมนักแสดงดังของแต่ละประเทศเอาไว้อย่างคับคั่ง

การเติบโตของเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงในวิธีการทำงานของธุรกิจทั่วโลกได้ส่งผลให้ธุรกิจคลาวด์กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ จะทำอย่างไรให้ธุรกิจคลาวด์กลายเป็นธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนให้โลกไปพร้อม ๆ กันด้วย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีแนวคิดของ Amazon และ AWS (Amazon Web Service) ที่น่าสนใจ และอาจเป็นไอเดียให้กับตลาดดังกล่าวได้ต่อยอดในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ก็เป็นได้ โดยสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง Amazon และ AWS ด้านความยั่งยืนมีดังนี้

การจ่ายเงินด้วยการสแกนฝ่ามือของ Amazon ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกากำลังจะถูกนำมาใช้ในวงกว้างมากขึ้น หลังจากเปิดตัวเมื่อปี 2020 โดยมีรายงานว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตดัง Whole Foods กิจการที่ Amazon ซื้อมาด้วยมูลค่า 13,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี 2017 ตอนนี้ก็สามารถใช้บริการดังกล่าวได้แล้วกว่า 200 สาขา

อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ดันโครงการใหม่เพื่อเร่งการเติบโตอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในปี 2565 และกระตุ้นเศรษฐกิจไทย หวังสร้างความเข้มแข็งผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยให้ขยายฐานธุรกิจไปทั่วโลก  

  หลังผลประกอบการในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา Amazon ทำรายได้อย่างงดงามถึง 1.37 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีรายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซสหรัฐอเมริการายนี้ กำลังเตรียมปรับเพดานค่าตอบแทนพนักงานเป็นเท่าตัว จาก 160,000 เหรียญสหรัฐเป็น 350,000 เหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี ในรายงานดังกล่าวไม่ได้บอกว่า พนักงานที่จะได้ขึ้นเงินเดือนนั้นมีจำนวนทั้งหมดกี่คน

Amazon ยกเลิกกฎห้ามพนักงานใช้โทรศัพท์มือถือขณะทำงาน หลังมีพนักงานเสียชีวิตถึง 6 คนจากเหตุการณ์ทอร์นาโดถล่มสหรัฐอเมริกา

อเมซอน (Amazon) ชี้ SME ไทยยังมีโอกาส หลังผลวิจัยชี้การส่งออกอีคอมเมิร์ซแบบ B2C สามารถเติบโตจาก 1.102 แสนล้านบาทในปี 2564 ขึ้นเป็น 4.858 แสนล้านบาท ภายในปี 2569 ได้

เรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจทีเดียว กับความเปลี่ยนแปลงของโลกค้าปลีกที่เราได้เห็นการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น ค่าย J.C. Penney หรือ Neiman Marcus Group ที่ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ แต่ในโลกออนไลน์ เรากลับเห็นว่า ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซอย่าง แอมะซอน (Amazon) กำลังมีแผนจะสร้างห้างสรรพสินค้าตัวจริงเสียงจริงขึ้นในรัฐ “โอไฮโอและแคลิฟอร์เนีย” 

เรียกได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Amazon หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐอเมริกาอีกครั้งเมื่อ Jeff Bezos ซีอีโอที่เราคุ้นหน้ากันดีได้ออกมาประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง และส่งไม้ต่อให้กับ Andy Jassy ขึ้นรับช่วงแทนอย่างเป็นทางการในการแถลงผลประกอบการไตรมาส 4 ของปี 2020

แบรนด์ดังในสหรัฐอเมริกาออกมาช่วยรัฐบาล “โจ ไบเดน” พิชิตไวรัส Covid-19 กันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยล่าสุดเป็น กูเกิล (Google) ที่ออกมาประกาศว่าจะแบ่งอาคาร ลานจอดรถ และพื้นที่ส่วนที่ยังว่างอยู่ของบริษัทให้กับหน่วยงานด้านสาธารณสุขเพื่อใช้เป็นคลินิคสำหรับการฉีดวัคซีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์ (Disney) แอมะซอน (Amazon) และสตาร์บัคส์ (Starbucks) ออกมาให้ความช่วยเหลือไปก่อนแล้ว

แอมะซอน (Amazon) ไอเดียเก๋ เปิดตัวบริการเสื้อผ้าสั่งทำพิเศษภายใต้คอลเลกชั่น “Made For You” หวังเอาใจลูกค้าที่อยากมีเสื้อที่ตรงกับความต้องการสุด ๆ

หลังจากที่มีการชิมลางในธุรกิจยามาหลายรอบ ล่าสุดทางค่ายอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาอย่างแอมะซอน (Amazon) ก็ได้ออกมาประกาศเปิดตัวธุรกิจจัดจำหน่ายยาในชื่อแอมะซอน ฟาร์มาซี (Amazon Pharmacy) พร้อมวางโพสิชันตัวเองเป็นร้านขายยาแห่งโลกดิจิทัลแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า นี่อาจเป็นการรักษาการเติบโตในสไตล์ธุรกิจล้านล้านเหรียญสหรัฐก็เป็นได้

จากที่แอมะซอน (Amazon) เคยเปิดตัวปุ่มแดช หรือ Dash Button อันลือลั่นไปเมื่อปี 2015 ตอนนี้ ดูเหมือนว่า จะมีสินค้าใหม่ในตระกูล Dash ของ Amazon ออกมาให้ได้ยลโฉมแล้วเช่นกัน แถมรอบนี้ยังสามารถใช้งานได้ทั้งฝั่งลูกค้า และฝั่งผู้ขาย (ร้านค้าปลีก) เลยด้วย

เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับพนักงาน Amazon ที่พบว่าติดเชื้อไวรัส Covid-19 ในระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 19 กันยายน ที่มีจำนวนถึง 19,816 คน แม้ว่าจะคิดเป็นอัตราส่วนเพียง 1.44% ของพนักงาน Amazon และ Whole Foods ทั้งหมด 1.37 ล้านคน แต่ก็ทำให้บริษัทถูกตั้งคำถามถึงเรื่องการดูแลความปลอดภัยให้กับพนักงานที่ “ไม่เพียงพอ”

ใครที่ไม่ชอบติดกล้องวงจรปิดหลาย ๆ ตัวอาจถูกใจสิ่งนี้ เพราะ Amazon ได้มีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดแบบใหม่ ในรูปแบบโดรน มีตัวเดียวก็สามารถบินตรวจสอบความปลอดภัยในบ้านได้แทนเจ้าของ คาดพร้อมขายปี 2021 นี้

จากที่เคยพัฒนา Amazon Go ร้านสะดวกซื้ออัจฉริยะที่ไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงิน แค่หยิบของจากชั้นวางแล้วก็เดินออกจากร้านได้เลยนั้น ล่าสุด การบุกธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตของ Amazon กำลังเผยให้เห็นอีกหนึ่งนวัตกรรมแล้ว นั่นคือ “Dash Carts” หรือรถเข็นอัจฉริยะ ที่มาพร้อมกล้องดิจิทัล, เซนเซอร์ และหน้าจอที่สามารถแสดงผลได้ว่า นักช้อปแต่ละหยิบอะไรใส่ตะกร้ามาบ้าง และแน่นอน แค่มี Dash Carts คุณก็ไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์แคชเชียร์เช่นกัน

เรียกว่ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายกันนิดหน่อยเสียแล้วสำหรับผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาอย่าง Amazon ที่ล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทตัดสินใจตั้งเป้าหมายใหม่ในช่วง Covid-19 นั่นคือ การทำให้ผู้คน “ซื้อของน้อยลง”

จากเหตุการณ์ไฟป่าลุกลามไปทั่วประเทศบราซิลในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และอัตราการตัดไม้ทำลายป่าที่เพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด มีรายงานว่าผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบางกลุ่มในโลกเริ่มดาวน์โหลด Search Engine ขนาดเล็กสัญชาติเยอรมันมาใช้งานกันมากขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นหนึ่งในการช่วยโลกฟื้นคืนสภาพป่าให้กลับมาดีดังเดิม

สำหรับหลายคนที่มีคำถามว่า การซื้อกิจการ Whole Foods ของ Amazon แถมด้วยการริเริ่มร้านค้าไร้แคชเชียร์อย่าง Amazon Go ขึ้นมานั้นจะนำ Amazon ไปสู่อะไร คำตอบที่น่าจะเห็นชัดขึ้นอาจเป็นข้อนี้ เมื่อมีรายงานข่าวจาก Bloomberg อ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดภายใน Amazon ว่าบริษัทมีแผนจะขยายเทคโนโลยี Go นี้ให้ใหญ่มากขึ้นระดับที่ให้บริการได้ใน “ซูเปอร์มาร์เก็ต” กันเลยทีเดียว

ต้องบอกว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เมื่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon กำลังได้รับผลกระทบในระดับที่ไม่คาดคิดจากปัญหาที่สะสมมายาวนานในองค์กร รวมถึงบริการส่งสินค้าแบบ One-Day Delivery หลังมีพนักงาน Amazon จำนวนหนึ่งในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี สเปน และโปแลนด์ ออกมาประท้วงหยุดงานในวัน Prime Day วันที่ Amazon อยากจะสร้างประวัติศาสตร์การช้อปแห่งโลกตะวันตกขึ้นมาเสียอย่างนั้น โดยผู้ประท้วงได้มีการชักชวนให้ผู้บริโภคร่วมบอยคอตสินค้าของบริษัทอย่าง Amazon.com, Amazon Prime Video, Whole Foods, Kindle, Twitch, IMDb, …

อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง (Amazon Global Selling) หนึ่งในหน่วยธุรกิจของ Amazon ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อมุ่งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทั่วโลกขยายฐานการค้าสู่ตลาดต่างประเทศ ผ่านการสร้างแบรนด์ระดับโลกและการเข้าถึงลูกค้าที่ซื้อสินค้าบนมาร์เก็ตเพลสของอเมซอนทั่วโลก ประกาศตั้งทีมงานในกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ค้าชาวไทยให้สามารถขยายตลาดส่งออกไปได้ทั่วโลกด้วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

  ชื่อชั้นของร้านค้าปลีกยุคดิจิทัล Amazon Go กับคอนเซ็ปต์ Grab-and-Go หรือก็คือการไม่มีแคชเชียร์ แค่หยิบสินค้าแล้วเดินออกจากร้านได้เลยถึงคราวต้องปรับตัวให้หันมามองภาพรวมมากขึ้น หลังถูกผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาตำหนิว่า ร้านค้าในลักษณะนี้ทำให้เกิดการแบ่งแยกผู้บริโภคกลุ่มที่ไม่มีบัญชีธนาคารออกจากระบบ เนื่องจากไม่สามารถตัดบัตรเครดิตเพื่อชำระเงินได้

  หากคุณคิดว่าร้านค้าปลีกทั่วไปได้ตายไปแล้ว และขอโบกมือลาไม่ทำธุรกิจนี้ต่อ คุณคิดผิดไปถนัดเลยทีเดียว เห็นได้จากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่แม้จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ตั้งตระหง่าน ทว่า ข้อมูลปี 2017 จาก Internet Retailer พบว่า มีเพียง 4.35 แสนล้านดอลลาร์ที่เป็นการซื้อขายผ่านออนไลน์ หรือคิดเป็น 13% จากมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมดที่ 3.49 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจากตัวเลขนี้ ชี้ว่า e-commerce ยังไม่สามารถเข้ามาทดแทนร้านค้าปลีกได้ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

Patrick Walujo นักลงทุนและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Northstar Group กล่าวทิ้งท้ายในการบรรยายเล็กๆ ที่จัดขึ้นในเมืองหลวงของอินโดนีเซียเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาด้วยประโยคที่นักลงทุนทั้งหลายตั้งสนใจ “ทุกคนรู้ดีว่า Amazon กำลังจะมา”