เลย์ออฟ

  เอชพี (HP) บริษัทเทคโนโลยีดังประกาศลดพนักงานลง 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด หรือคิดเป็นตัวเลขราว 4,000 – 6,000 ตำแหน่งภายในปีการเงิน 2028 พร้อมประกาศเดินหน้าสู่การปรับใช้ AI ภายในองค์กร โดยซีอีโอของ HP มองว่าการเลย์ออฟพนักงานครั้งนี้คือสิ่งจำเป็นต่อการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

แม้กระแสการเรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ รวมถึงการเลย์ออฟพนักงานจะมาแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าสำหรับพนักงาน Gen Z พวกเขาก็ยังคงยึดถือการมี Work-Life Balance เอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะ Gen Z ในสหรัฐอเมริกาที่มีผลสำรวจจากหลาย ๆ สถาบันชี้ไปในทิศทางเดียวกัน

Amazon เตรียมเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่ คาดแตะ 30,000 คน พร้อมลุยปรับโครงสร้างองค์กร หวังลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และเพิ่มการใช้ AI ให้มากขึ้น ขณะที่นักลงทุนตอบรับข่าวนี้ ทำราคาหุ้น Amazon ปรับตัวขึ้น 1.2%

Bosch บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยักษ์ใหญ่จากเมืองเบียร์ประกาศแผนปลดพนักงานครั้งใหญ่จำนวน 13,000 ตำแหน่งภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ พร้อมให้เหตุผลว่า บริษัทได้เปลี่ยนมาใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้แล้วนั่นเอง

Dentsu เตรียมปลดพนักงานนอกประเทศญี่ปุ่นสูงถึง 8% หรือประมาณ 3,400 ตำแหน่ง หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ขาดทุน 6.2 หมื่นล้านเยน โดยพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างครั้งนี้เป็นกลุ่ม Back-office ที่ทำงานในสำนักงานใหญ่เป็นหลัก

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยักษ์ใหญ่วงการเทคโนโลยีประกาศเลย์ออฟพนักงานรอบใหม่ (หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกของปีการเงิน 2026) โดยรอบนี้พบว่ามีจำนวนราว 4% ของพนักงานทั้งหมด หรือเท่ากับมีคนต้องถูกให้ออกประมาณ 9,000 คนเลยทีเดียว

ดิสนีย์ (Disney) เตรียมเลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคนทั่วโลก นัยว่าเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการเลิกจ้างนี้ส่งผลกระทบต่อหลายหน่วยงาน เช่น ฝ่ายการตลาด, โทรทัศน์และภาพยนตร์ รวมถึงฝ่ายการเงิน

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เตรียมเลิกจ้างพนักงานประมาณ 6,000 คน หรือคิดเป็น 3% ของพนักงานทั้งหมด คาดเพื่อโยกเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ AI เพิ่ม

ยอดขายไม่กระเตื้อง Burberry แบรนด์หรูสัญชาติอังกฤษเลยขอเปลี่ยนแผนเป็นการเลิกจ้างพนักงาน 1,700 คนทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนแทน

นิสสัน (Nissan) ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นเตรียมปิดโรงงาน 7 แห่งและเลย์ออฟพนักงาน 20,000 ตำแหน่ง หลังบริษัทประสบปัญหาขาดทุนหนัก 6.7 แสนล้านเยน หรือประมาณ 151,647 ล้านบาท แถมมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่องในปีการเงิน 2026 จากนโยบายภาษีการค้า “โดนัลด์ ทรัมป์”

เชฟรอน (Chevron) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกาเตรียมเลย์ออฟพนักงานทั่วโลก 15-20% ภายในสิ้นปี 2026 หลังเผชิญความท้าทายด้านการผลิตน้ำมัน โดยพบว่า ธุรกิจกลั่นน้ำมันมีการขาดทุนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 และส่งผลให้หุ้นของเชฟรอนลดลง 1.3% เลยทีเดียว

ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ซีอีโอ Google ออกมาเผยเหตุผลที่บริษัทมีการปรับลดพนักงานในตำแหน่งบริหารลงประมาณ 10% แล้ว โดยเขาบอกว่า ต้องการให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  นิสสัน (Nissan) ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นหุ้นดิ่งทันที 10% ที่เปิดตลาด หลังประกาศเลิกจ้างพนักงานทั่วโลก 9,000 คน โดยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือปัญหาการขาดทุนจากการตีตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รวมถึงยอดขายที่ไม่เป็นไปตามเป้าในตลาดสหรัฐอเมริกา พร้อมกันนี้ยังประกาศลดกำลังการผลิตทั่วโลก 20% และลดงบด้านการขายลงด้วย

คาด Samsung Electronics ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่เตรียมลดจำนวนพนักงานที่อยู่นอกประเทศเกาหลีใต้แล้ว นัยว่าเพื่อรับมือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง และการจับจ่ายที่ชะลอตัว โดยอาจเป็นพนักงานฝ่ายการขาย การตลาด และฝ่ายธุรการ ส่วนฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่กระทบใด ๆ ด้านสื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่า บางแผนก หรือบางประเทศมีแนวโน้มการเลย์ออฟสูงถึง 30% ของพนักงานทั้งหมดเลยทีเดียว ส่วนภูมิภาคที่จะได้รับผลกระทบมีตั้งแต่อเมริกา ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา

เมื่อช่วงข้ามคืนที่ผ่านมามีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ของอินเทล (Intel) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐอเมริกา โดยพบว่า เป็นไตรมาสที่ไม่ดีนัก เนื่องจากรายได้ของไตรมาสนี้ต่ำกว่าที่คาด ส่งผลให้หุ้นของอินเทลปรับตัวลดลงประมาณ 7% นอกจากนั้น บริษัทยังประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะไม่จ่ายปันผลในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และจะมีการเลย์ออฟพนักงานมากถึง 15,000 คนเพื่อลดค่าใช้จ่ายองค์กรด้วย

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีปรับโครงสร้างแผนก Mixed Reality ประกาศเลย์ออฟพนักงานแผนกพัฒนาอุปกรณ์ HoloLen 2 ประมาณพันคน และในส่วนคลาวด์ Azure หลักร้อยคน

เป็นสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว กับธุรกิจยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่พากันประกาศเลย์ออฟพนักงานกันอย่างพร้อมเพรียง โดยเราได้รวบรวม 5 บริษัทชื่อดังในตลาดสหรัฐอเมริกันที่ออกมาประกาศเลย์ออฟพร้อมเหตุผลที่ใช้ในการเลิกจ้าง ดังนี้

Electrolux แบรนด์ดังสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเตรียมปิดสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ย้ายฐานสู่ “กรุงเทพฯ” คาดกระทบพนักงาน 200 ชีวิต

Lazada แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือ Alibaba ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าจะนำไปสู่การเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในสิงคโปร์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบสูงสุด อีกทั้งยังสอดคล้องกับคู่แข่ง เช่น Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากสิงคโปร์ของค่าย Sea ที่เคยประกาศเลย์ออฟพนักงานมาแล้วเช่นกันในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา

ชื่อของ “Spotify” กลายเป็นชื่อบริษัทรายล่าสุดที่มีแผนปลดพนักงาน (รอบที่ 3) จำนวน 1,500 ตำแหน่งจาก 9,000 กว่าคนทั่วโลก หรือคิดเป็น 17% ของพนักงานทั้งหมด  และแน่นอนว่า เมื่อ Spotify ประกาศข่าวนี้ออกไป หุ้นของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% ทันที

พนักงาน TikTok หวั่นใจถูกเลย์ออฟ หลังพบว่ามีการแจ้งกับพนักงานระดับผู้จัดการให้ประเมินความสามารถของพนักงานด้วยคะแนนที่ต่ำได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็เคยใช้วิธีดังกล่าวกับพนักงานเพื่อให้มีข้ออ้างในการเลย์ออฟมาแล้วเช่นกัน

Electrolux บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจากสวีเดนประกาศเข้าสู่ภาวะรัดเข็มขัด เตรียมเลย์ออฟพนักงานเพิ่ม 3,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 6.5% ของพนักงาน เหตุยอดขายในไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยหล่นมาอยู่ที่ 4.09 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (33.4 พันล้านเหรียญโครนา) หรือลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022

โนเกีย (Nokia) ประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่ 14,000 คน เหตุจากผลประกอบการไตรมาส 3 ดิ่ง ยอดขายลดลง 20% เหลือ 4.98 พันล้านเหรียญยูโร ขณะที่กำไรลดลงถึง 69% เหลือเพียง 133 ล้านเหรียญยูโรเท่านั้น

British Telecom ผู้ให้บริการโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของอังกฤษเตรียมเลย์ออฟพนักงาน 55,000 ตำแหน่งภายในปี 2030 โดยเป็นงานในตำแหน่งวิศวกร – แผนกดูแลลูกค้ามากถึง 1 ใน 5 และบริษัทเผยว่าจะนำ Generative AI อย่าง ChatGPT เข้ามาทำงานแทนด้วย

Gap เตรียมเลย์ออฟพนักงานเพิ่มอีก 1,800 ตำแหน่ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศเลย์ออฟไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 500 ตำแหน่ง

จากที่เคยประกาศเลย์ออฟพนักงานไปเมื่อเดือนธันวาคม – มีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่า ล่าสุดทางบริษัท Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook ได้เริ่มเลย์ออฟพนักงานรอบใหม่แล้ว โดยรอบนี้ตำแหน่งงานอย่าง “นักพัฒนา – วิศวกร” ซึ่งในอดีตเป็นอาชีพที่มีการแย่งตัวกันอย่างหนักก็ได้รับผลกระทบด้วย

McDonald’s ประกาศปิดสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเป็นการชั่วคราว 3 วัน เพื่อเตรียมแจ้งพนักงานถึงการเลย์ออฟที่จะเกิดขึ้น

ถึงเวลาแยกย้าย ดิสนีย์ (Disney) ประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่ 7,000 ตำแหน่ง ซึ่งในการเลย์ออฟครั้งนี้ยังรวมถึงพนักงานในส่วน Metaverse ที่บริษัทเคยคาดว่าจะเป็นตัวสร้างการเติบโตครั้งใหม่ให้กับบริษัทด้วย

แม้ว่าการทำงานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับโลกการทำงานยุคนี้ แต่ก็มีการวิจัยพบว่า “การเลย์ออฟ” ทำให้พนักงานที่เหลืออยู่ในองค์กรต้องทำงานเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม โดยเฉพาะพนักงานสายเทคโนโลยีและพนักงานในธุรกิจสื่อที่มีผลสำรวจพบว่า ทำงานเพิ่มขึ้นราว 25%

Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta เจ้าของแพลตฟอร์มดังอย่าง Facebook และ Instagram ประกาศแผนเลย์ออฟพนักงานเพิ่มอีก 10,000 ตำแหน่งแล้ว หลังจากเพิ่งประกาศลดพนักงานครั้งใหญ่ไปเมื่อปลายปีก่อน โดยในครั้งนั้นมีพนักงานถูกเลย์ออฟมากถึง 11,000 คน