นิสสัน (Nissan) ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นเตรียมปิดโรงงาน 7 แห่งและเลย์ออฟพนักงาน 20,000 ตำแหน่ง หลังบริษัทประสบปัญหาขาดทุนหนัก 6.7 แสนล้านเยน หรือประมาณ 151,647 ล้านบาท แถมมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่องในปีการเงิน 2026 จากนโยบายภาษีการค้า “โดนัลด์ ทรัมป์”
สำหรับการปิดโรงงานทั้ง 7 แห่งที่ซีอีโอของบริษัทอย่าง Ivan Espinosa แถลงข่าวไว้นั้น ไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นโรงงานในประเทศใดบ้าง แต่คาดว่าการปิดโรงงานจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปีการเงิน 2027 และจะมีการลดกำลังการผลิตรถยนต์ของบริษัทลงจาก 3.5 ล้านคันในปีที่แล้ว เหลือ 2.5 ล้านคันด้วย ซึ่งโดยรวมแล้ว ผู้บริหาร Nissan ตั้งเป้าว่าจะลดค่าใช้จ่ายให้ได้ราว 5 แสนล้านเยน หรือประมาณ 113,170 ล้านบาทเลยทีเดียว
ส่วนที่มาของการปรับลดค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ของ Nissan มาจากยอดขายในสหรัฐอเมริกาและจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่เป็นไปตามเป้า อีกทั้งบริษัทยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการควบรวมกิจการกับฮอนด้า (Honda) โดยเหลือเพียงแค่การร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนารถยนต์ EV และแบตเตอรี่เท่านั้น
อีกหนึ่งสาเหตุของการปรับโครงสร้างของ Nissan ก็คือเพื่อเตรียมพร้อมรับมือภาษีการค้าที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาเตรียมบังคับใช้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่ง Nissan ประเมินว่า บริษัทอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ราว 450,000 ล้านเยน หรือประมาณ 101,853 ล้านบาท และจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1 ของปีนี้ (เดือนเมษายน – มิถุนายน) บริษัทอาจขาดทุนได้ถึง 2 แสนล้านเยนเลยทีเดียว (เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ Nissan ส่งออกรถยนต์เข้าไปขายในสหรัฐอเมริกาจากสองประเทศ นั่นคือ เม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยคิดเป็น 45% ของยอดขายทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออกจากเม็กซิโก 300,000 คันและ 120,000 คันจากญี่ปุ่น)
การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ Nissan อาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น ที่ต้องรับมือกับความไม่แน่นอนทางการค้า การแข่งขันด้านเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจะยังรักษาความเป็นผู้นำไว้ได้อีกนานแค่ไหน ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
เป็นเพื่อนกับเราได้ที่ LINE