แม้กระแสการเรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ รวมถึงการเลย์ออฟพนักงานจะมาแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าสำหรับพนักงาน Gen Z พวกเขาก็ยังคงยึดถือการมี Work-Life Balance เอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะ Gen Z ในสหรัฐอเมริกาที่มีผลสำรวจจากหลาย ๆ สถาบันชี้ไปในทิศทางเดียวกัน
หนึ่งในผลการสำรวจมาจาก Gallup ที่พบว่า ชาวอเมริกันทำงานเฉลี่ย 42.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในปีที่แล้ว ลดลงจาก 44.1 ชั่วโมงในปี 2019 โดยกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปี มีอัตราการลดลงของชั่วโมงการทำงานสูงที่สุด (ทำงานน้อยลงเฉลี่ยเกือบสองชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่พนักงานที่มีอายุมากกว่า 35 ปีมีเวลาทำงานน้อยลงประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์)
Jim Harter หัวหน้าฝ่าย workplace management และ well-being ของ Gallup กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า เป็นเพราะ Gen Z ไม่รู้สึก “เชื่อมโยง” กับนายจ้าง โดยส่วนหนึ่งมาจากช่วงเริ่มต้นการทำงานของ Gen Z ที่โลกเผชิญกับการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้ต้องทำงานระยะไกล และเมื่อระบบกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การทำงานแบบไฮบริดก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ดังนั้น การที่หลายบริษัทออกกฎให้พนักงานต้องกลับเข้าออฟฟิศแบบ 5 วันต่อสัปดาห์ จึงอาจเป็นสิ่งที่ Gen Z ไม่คุ้นเคย
อีกหนึ่งผลสำรวจมาจาก KPMG บริษัทยักษ์ใหญ่ที่พบว่า ในกลุ่มนักศึกษาฝึกงานจำนวน 1,100 คน หากพวกเขาจะทำงานเต็มเวลา พวกเขาจะพิจารณาโดยให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว “มากกว่าเงินเดือน”
ทั้งนี้ มาร์ซี เมอร์ริแมน ผู้ก่อตั้ง Ethos Innovation บริษัทที่ปรึกษาด้านพฤติกรรมของคนทำงาน ได้มีการวิเคราะห์พฤติกรรมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลให้ชีวิตทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวว่า มาจากการเห็นคนยุคพ่อแม่ (Gen X) ที่ทำงานหนัก และทุ่มเทให้กับงาน แต่ในท้ายที่สุดก็หมดไฟ และท้อแท้กับชีวิตอยู่ดี นั่นจึงทำให้ชาว Gen Z ยืนหยัดที่จะรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว แม้จะทำให้พวกเขาต้องเสียหน้าที่การงานไปก็ตาม
“เมื่อคน Gen X เผชิญความยากลำบาก เราจะทำงานหนักขึ้น มุ่งมั่นมากขึ้น เพราะนั่นคือสิ่งที่เราถูกหล่อหลอมมา ในทางกลับกัน คน Gen Z ไม่ได้เติบโตมาแบบนั้น พวกเขาทำงานโดยคาดหวังว่าจะได้รับการประเมินจากความพยายามที่พวกเขาทุ่มเทลงไป”





