อูเบอร์

การได้เห็น Tech Company ใช้บิ๊กดาต้าเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคืออูเบอร์ (Uber) บริการ Ride-Hailing สัญชาติอเมริกัน ที่สามารถนำข้อมูลการดีเลย์ของสายการบินมาผนวกเข้ากับบริการของตัวเอง และเลื่อนเวลาจองรถให้กับลูกค้าได้โดยอัตโนมัติ

ย้อนหลังไปเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน การได้รับข้อเสนอดี ๆ อย่างค่าส่งอาหารราคา 10 บาท นั่งรถโดยสารหรูราคาประหยัด จองห้องพักในสถานตากอากาศได้ในราคาถูก ฯลฯ จากบรรดาสตาร์ทอัพเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับโลกหลัง Covid-19 เป็นไปได้ว่า ข้อเสนอดี ๆ เหล่านั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้บริโภคจะคาดหวังได้อีกต่อไป

ยุค Work From Home ที่เริ่มต้นจากบริษัทเทคโนโลยี ดูเหมือนว่าก็กำลังจะจบลงเพราะบริษัทเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน เมื่อมีรายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากเริ่มมีแผนจะกลับมาเปิดออฟฟิศอีกครั้ง โดยหนึ่งในนั้นก็คือ เฟซบุ๊ก (Facebook)

ท่ามกลางการแข่งขันของแบรนด์ผู้ให้บริการ Ride-Hailing ในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ดูทีท่าว่าจะมีอนาคตด้วยการไปเติบโตในตลาดใหม่ ๆ อย่างธุรกิจสินเชื่อและประกันภัย แต่สำหรับในสหภาพยุโรป ดูท่าว่าผู้ให้บริการ Ride-Hailing รายแรก ๆ ของโลกอย่าง Uber จะเจอปัญหาใหญ่เข้าอย่างจัง กับการถูกยกเลิกใบอนุญาตจาก Transport for London หรือ TfL หลังจากพบว่า ที่ผ่านมาทางแพลตฟอร์มมีช่องโหว่ร้ายแรง และอาจกระทบกับความปลอดภัยของผู้โดยสาร

ให้ส่วนลดกับผู้บริโภคและพาร์ทเนอร์ร่วมขับมาก็นาน แต่ดูเหมือนสถานการณ์ด้านรายได้จะยังไม่ดีขึ้น ล่าสุดจึงมีรายงานว่า บริการ Ride-Sharing อย่าง Lyft และ Uber เริ่มคิดใหม่ทำใหม่ด้วยการปรับราคาค่าบริการเพิ่มขึ้นหวังเอาใจนักลงทุนกันแล้วนั่นเอง โดยสัญญาณนี้ถูกคาดการณ์ว่าจะทำให้สงครามราคาที่ Lyft และ Uber ต่อสู้กันมายาวนานมีแนวโน้มว่าจะยุติลงด้วย

จากรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Uber ใกล้จะนำเสนอบริการใหม่ “โดรน” ส่งอาหาร ภายในซัมเมอร์นี้ โดยเริ่มต้นทดลองให้บริการจริงกับลูกค้าใน San Diego เป็นพื้นที่แรก ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดของโปรเจ็กท์ดังกล่าว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ เวลานี้ มูลค่าหุ้นของ Uber กลายเป็นเรื่องร้อนแรงที่สื่อตะวันตกให้ความสนใจอย่างมาก โดย Uber เปิดตัวด้วยราคา 45 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น เมื่อวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากนั้นราคาหุ้นก็ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง และแตะราคาต่ำสุดที่ 36.26 เหรียญสหรัฐในวันที่ 4 หลังการเปิดตัว (แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะกระเตื้องขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังทำให้นักลงทุนหายใจได้ไม่ทั่วท้องอยู่ดี)

  หากเอ่ยถึงยูนิคอร์นจากแดนมังกรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด หนึ่งในนั้นต้องมีแบรนด์ Didi ผู้ให้บริการ Ride-Hailing มูลค่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน แต่ข่าวคราวของ Didi ในระยะหลัง กลับไม่สดใสนัก เพราะมีข่าวว่า บริษัทมีแผนจะเลิกจ้างพนักงานราว 2,000 คน หรือคิดเป็น 15% ของพนักงานทั้งหมดภายในปีนี้

คนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ถือคติต้องขยันและอดทนเพราะความจนมันน่ากลัว ทำให้ใครๆ ก็อยากมีรายได้มากกว่าหนึ่งทาง ทั้งจากการทำงานพิเศษและมีอาชีพหลักมากกว่า 1 อย่าง ทำให้เกิดบริการใหม่ที่เอาใจคนขับ Uber ในต่างประเทศ ด้วยการช่วยให้พวกเขาสามารถขายสินค้าเพิ่มเติมได้บนรถยนต์ และทำให้ผู้ใช้บริการสะดวกมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่มีข่าวเกิดขึ้นในสิงคโปร์เรื่องความไม่ชัดเจนของบทบาทพนักงานของ UBER  ภายหลังการขายกิจการ UBER ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนเกิดความสับสนขึ้น ล่าสุด Grab ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าว ใจคามว่า

แกร็บ(Grab) ซื้อกิจการอูเบอร์(UBER) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ข้อตกลงที่ถือว่ามีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์การซื้อธุรกิจออนไลน์ในภูมิภาค โดยแกร็บจะควบรวมกิจการเรียกรถโดยสารผ่านแอพพลิเคชั่นและรับส่งอาหารของอูเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไว้ในแพลตฟอร์มการให้บริการขนส่งและบริการทางการเงินอันหลากหลายของแกร็บ ทั้งนี้ ภายหลังการควบรวมธุรกิจ แกร็บจะมุ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการแบบO2O (Online to Offline) และผู้ให้บริการรับส่งอาหารชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองของประเทศในเอเชียนั้นน่ากลัวและเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ Uber สังเกตเห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวและจับมันมาผูกกับโฆษณาแบรนด์ดิ้งตัวใหม่ ที่มีคีย์แมสเสจบอกว่า Carsharing จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้

วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันแรกที่ Uber ให้บริการในเชียงใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่ Uber ให้บริการนอกกรุงเทพ เอมี่ กุลโรจน์ปัญญา ผู้อำนวยการสื่อสารองค์กรเเละนโยบาย, เอเชียแปซิฟิก อูเบอร์ เล่าถึงอินไซต์ที่เกิดขึ้นของทั้งฝั่งผู้ใช้บริการ(Rider) และมุมมองจากผู้ขับ(Driver) ที่น่าสนใจ และนำไปสู่การปรับกลยุทธ์ในเมืองอื่นๆ ของประเทศไทย ตามที่ Uber มีวิสัยทัศน์ว่าจะให้บริการทุกพื้นที่และทุกเวลา ดังนี้

เพราะว่าในปัจจุบันการร้องเรียนหรือส่งปัญหาต่างๆ เข้ามาทาง Uber ใช้วิธีส่งอีเมล์ไปที่ support@uber.com ซึ่งทำให้ผู้แจ้งไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร Uber จึงยกเลิกช่องทางดังกล่าว แล้วปรับปรุงช่องทางให้สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือผ่านตัว Application หรือผ่านเว็บไซต์ได้โดยตรง

Apple ทุ่มเงินราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อลงทุนใน Didi Chuxing Technology Co. บริการ Ride-Sharing โมเดลคล้ายกับ Uber และเป็นคู่แข่งกันโดยตรงในประเทศจีน ทั้ง 2 แบรนด์ต่างก็แข่งขันกันรุนแรงและใช้วิธี  Subsidies ค่าบริการเพื่อดึงดูดให้พลขับทั้งหลายยอมลงทะเบียนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของแบรนด์ตัวเอง