กลายเป็นอีกหนึ่งผู้ท้าชิงที่น่าจับตาในตลาดสมรภูมิเบียร์กว่า 2 แสนล้านบาทเมืองไทย หลัง “คุณเสถียร เสถียรธรรมะ” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “เจ้าพ่อคาราบาวแดง” ประกาศเปิดตัวเบียร์น้องใหม่ในเครืออย่างเป็นทางการ โดยพร้อมเปิดขายในปลายปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป
เป็นที่รู้กันดีว่าตลาดเบียร์มูลค่า 1.6-1.8 แสนล้านบาทของไทยในปัจุจบัน มีแบรนด์ “ช้าง” ของกลุ่มไทยเบฟ และ “สิงห์” ของทางบุญรอดบริวเวอรี่ เป็นผู้เล่นหลักในตลาดมายาวนาน
ปัจจุบันตลาดเบียร์เมืองไทยมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท หรือ 2,000 ล้านลิตร ถือเป็นตัวเลขการเติบโตที่พ้นขีดอันตราย หลังช่วง 2 ปีก่อนหน้าสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 กระทบอุตสาหกรรมทำให้ตลาดหดตัวลงเหลือเพียง 1.6-1.8 แสนล้านบาท ขณะที่ในเชิงมูลค่าอยู่ที่ 1,800 -1,900 ล้านลิตร เท่านั้น โดยหลักๆเป็นผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่กระทบต่อช่องทางการขายออนพรีมิส อย่างร้านอาหาร ผับบาร์ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้และส่งผลกระทบต่อตลาดโดยตรง
2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งเผชิญหน้ากับการล็อกดาวน์ การปิดร้านอาหารและสถานบันเทิง ทำให้ไม่สามารถขายสินค้าในช่องทาง On-Premise ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% รวมทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้สินค้าในกลุ่มนี้ที่เดิมเคยมีมูลค่าตลาดกว่า 2 แสนล้านบาทต้องติดลบ อย่างไรก็ตาม นี่คือ “โอกาส” ของแบรนด์ “เชียร์ส” (CHEERS) ที่ขอส่งสินค้าใหม่ช่วงปลายปีเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่ตอนนี้ต้องการ “ความรื่นรมย์” ที่มาพร้อมกับ “ความคุ้มค่า” เสียเงินดื่มทั้งทีต้องมีสุนทรียะ
เป็นปีที่เห็นความคึกคักอย่างมากในกลุ่มเครื่องดื่มมอลต์ไม่มีแอลกอฮอลล์ (Non Alcohol Malt Beverage) หรือเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า “กลุ่มเบียร์ไม่มีแอลกอฮอลล์” โดยเฉพาะหลังจากการที่มีแบรนด์ใหญ่ออกมาทำตลาด ทำให้เริ่มเห็นการสื่อสารเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงสินค้าชนิดนี้ เพื่อโอกาสในการผลักดันให้ตลาดเติบโตและขยายตัวได้มากขึ้น
ต่อยอดจากความแข็งแรงของแบรนด์ในการออกเครื่องดื่ม New Segment ที่เรียกว่า “เครื่องดื่มมอลต์ไม่มีแอลกอฮอลล์ Heineken 0.0” (ไฮเนเก้น ศูนย์จุดศูนย์) หรือในชื่อสากลว่า “ไฮเนเก้นซีโร่ซีโร่” โดยทางไฮเนเก้นยืนยันว่า เครื่องดื่มตัวนี้ไม่ใช่เบียร์ แต่เป็นนวัตกรรมใหม่ทางเครื่องดื่ม ที่กลุ่มไฮเนเก้นมองเห็นเทรนด์และศึกษาช่องว่างของตลาดมาตลอด 7 ปี ก่อนจะส่งสินค้าจาก Pipeline เริ่มทำตลาดทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2017 จนปัจจุบันทำไปแล้วไปกว่าใน 38 ประเทศทั่วโลก ซึ่งผลตอบรับแต่ละประเทศถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ยังเดินหน้าเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอกลุ่มเบียร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหน้าขายสำคัญอย่างเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี ทำให้กลุ่มบุญรอด เลือกใช้ลานเบียร์สิงห์ในการทดลองปล่อยของ เพื่อแนะนำ Lager Beer ตัวใหม่ ภายใต้ชื่อ “MY BEER” (มายเบียร์) พร้อมประเดิมขายผ่านช่องทาง On Premise ตามร้านอาหารที่จำหน่ายเครื่องดื่มของสิงห์ไปก่อน โดยคาดว่าช่องทาง Off Premise ไม่ว่าจะเป็นตามซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านสะดวกซื้อต่างๆ น่าจะเริ่มกระจายได้ภายในปีหน้า
ปีนี้เป็นปีที่ตลาดเบียร์เมืองไทยมีสีสันสุดๆ เพราะค่ายใหญ่ต่างก็เปิดตัวเบียร์แบรนด์ใหม่ หรือเซกเมนต์ใหม่กันอย่างคึกคัก ล่าสุดค่ายไทยเบฟฯ ส่ง Black Dragon เบียร์ลมหายใจมังกรดำ และ ฮันทส์เมน (Huntsman) Cloudy Wheat Beer สไตส์ Belgian ลงสู่ตลาดมาขับเคี่ยวกับ เบียร์หมี Snowy Weizen by EST 33. จากค่ายสิงห์ ซึ่งนั่นเป็นความพยายามของ 2 คู่แข่งที่เป็นเจ้าตลาดในเซกเมนต์เบียร์เมนสตรีม ซึ่งจับกลุ่มแมส ขยับขยายมาสู้กันในเซกเมนต์ที่สูงขึ้น แต่สำหรับค่าย TAP(ทีเอพี) ซึ่งเป็นเจ้าตลาดเบียร์พรีเมี่ยม โดยมีแบรนด์ไฮเนเก้น(Heineken) …
ถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างภาพจำ ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและร่วมบุกเบิก Music Festival หรือเทศกาลดนตรีสำคัญๆ มาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น สำหรับ ไฮเนเก้น ที่ให้ความสำคัญกับการใช้กลยุทธ์ Music Marketing เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งตอกย้ำการรับรู้และสร้าง Engagement ที่มีต่อแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแรงในตลาดเบียร์พรีเมียมด้วยการมีส่วนแบ่งในตลาดสูงถึง 80%
Heineken(ไฮเนเก้น) บริษัทเบียร์สัญชาติเนเธอร์แลนด์วางแผนเพิ่มการผลิตให้มากกว่าเดิมสิบเท่าในเวียดนาม และกำลังเริ่มขยายออกไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันอย่างพม่า หลังขึ้นมาเป็นอันดับสามในส่วนแบ่งการตลาดของภูมิภาคเมื่อปี 2015 ในขณะที่ภาพรวมของตลาดเบียร์ทั้งโลกมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง Anheuser-Busch InBev บริษัทยักษ์ใหญ่ก็กินพื้นที่ตลาดเพิ่มการเติบโตในหลายพื้นที่
สำหรับตลาดแอลกอฮอล์ เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีความหลากหลายในแง่ของ Segment โดยเฉพาะในกลุ่ม Ready to drink ที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้การแข่งขันมีความเข้มข้นไม่แพ้รสชาติของเครื่องดื่มแต่ละตัวเลยทีเดียว ต้องบอกเลยว่าเทรนด์ของตลาด Ready to drink ถูกขับเคลื่อนด้วยรูปแบบการบริโภคของนักดื่ม ทำให้รูปแบบในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน
จะว่าไปแล้ว ตลาดเบียร์ในประเทศไทยมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท กลายเป็นเกมชิงตำแหน่ง “ผู้นำตลาด” น้ำเมาสีอำพัน เพียง 2 ค่ายใหญ่ ระหว่างแบรนด์ “สิงห์” (Singha) กับแบรนด์ “ช้าง” (Chang) เต็มรูปแบบแล้วมานานแล้ว เพราะหากนับแบรนด์ยิบย่อยในตลาด ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เบียร์พรีเมี่ยมที่นำเข้าจากต่างประเทศ แบรนด์ระดับโลก ทั้งไฮเนเก้น คาร์ลสเบิร์ก และไทเกอร์ ก็คงเป็นเพียง “ไม้ประดับ” ในตลาดเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเบียร์คู่แข่งจะมีการปรับแพ็กเก็จจิ้ง พร้อมกับจุดขายทางการตลาดใหม่ ให้ดูพรีเมี่ยมขึ้น และใช้พื้นที่โซเชี่ยลมีเดียสื่อสารจนกลายเป็นดราม่าที่ป่วนวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และวงการบันเทิงขนานใหญ่ แต่ “ไฮเนเก้น” (Heineken) ซึ่งเป็นเจ้าตลาดเบียร์เซกเมนต์นี้อยู่ก็ไม่หวั่น ยังคงเดินหน้าทำการตลาดอย่างหนักหน่วงบนแผนการเดิมด้วยกลยุทธ์ Movie Marketing จับมือสุดยอดสายลับ James Bond 007 อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 17
สิงห์ คอร์เปอเรชั่น และ กลุ่มบริษัท คาร์ลสเบิร์ก ได้บรรลุข้อตกลงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน โดยทั้ง 2 บริษัทจะประสานความร่วมมือทั้งการทำตลาดเบียร์ในประเทศต่างๆทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา มร.ยอเกน บูฮ์ล ราสมูสเซ่น ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารพร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัท คาร์ลสเบิร์ก ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยตามคำเชิญของคุณสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เพื่อกระชับความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรดำเนินธุรกิจทั่วโลกร่วมกัน คาร์ลสเบิร์กมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นสู่เบียร์ที่มียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 3 ของโลก ในขณะที่ สิงห์ มีเป้าหมายที่จะเป็น Top 3 ของเบียร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเอเชีย …
