สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ถึงวันนี้กว่า 5 เดือนแล้ว หลายธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบต่อไป การจ้างงานในประเทศไทยจำนวน 37-38 ล้านคน อุตสาหกรรมที่ถูกสั่งให้ปิดกิจการช่วง Lockdown เลิกจ้างงานทันที 9% เพราะขาดรายได้ ทำคนตกงานไปแล้วกว่า 3.5 ล้านคน แต่สัญญาณบวกจ้างงานเดือนพฤษภาคมเริ่มฟื้น
โควิดถือเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบแตกต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 ชัดเจน ครั้งนั้น องค์กรที่ได้รับผลกระทบคือ ขนาดใหญ่ มีเงินกู้จากต่างประเทศ ส่วนโควิดครั้งนี้ สร้างผลกระทบกับทุกองค์กร ทุกอุตสาหกรรม บริษัทขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ สาหัสเหมือนกันหมด
บริษัทขนาดเล็ก ได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า เพราะขาดรายได้และเงินหมุนเวียนทางธุรกิจหยุดชะงัก ส่วนองค์กรขนาดใหญ่อาจมีสายป่านที่ยาวกว่า ขณะที่ “คนทำงาน” สถานการณ์โควิดกระทบทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเล็ก กลาง ใหญ่ หลายหน่วยงานออกมาประเมินว่าโควิด จะทำให้คนไทยตกงาน 3-8 ล้านคน ถือเป็นตัวเลขสูงมาก
แรงงานถูกเลิกจ้างแล้ว 3.5 ล้านคน
จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) เปิดผลสำรวจผู้ประกอบการและคนทำงาน ถึงผลกระทบการระบาดของไวรัสโควิด-19 ครอบคลุมคนทำงานกว่า 1,400 คน และผู้ประกอบการกว่า 400 ราย คน ช่วงวันที่ 14-30 พฤษภาคม 2563
คุณพรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าการสำรวจพบว่า 25% ของคนทำงานได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด โดยมี 9% ถูกเลิกจ้าง หรือจำนวน 3.5 ล้านคน ในช่วงที่ธุรกิจถูก Lockdown สัดส่วน 16% ถูกหยุดงานชั่วคราวแต่ยังคงสถานะการจ้างงานไว้
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด มีหลายปัจจัย ดังนี้ คนที่มีเงินเดือนน้อยกว่า 16,000 บาทต่อเดือน, ลักษณะงานไม่ใช่พนักงานประจำ เป็นสัญญาจ้าง, อยู่ในองค์กรขนาดเล็กพนักงานน้อยกว่า 50 คน, คนทำงานอายุ 45 ปีขึ้นไป
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อย คือ คนทำงานเงินเดือนมากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน, เป็นพนักงานประจำ, อยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ 51-500 คน, อายุ 25-31 ปี
รัดเข็มขัดไม่ขึ้นเงินเดือน-งดโบนัสถึงปีหน้า
ช่วงโควิด พนักงานกว่า 50% บอกว่าต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) กว่า 45% ได้รับผลกระทบรายได้ลดลงจากหลายด้าน คือ ไม่ได้รับโบนัส 27% เพราะบริษัทต้องการดูแลต้นทุน, ไม่ได้ปรับเงินเดือน 20% และ ถูกลดเงินเดือน 14% ตั้งแต่ 11-30% ของรายได้
การปรับตัวของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด พบว่า 47% ปรับนโยบายการจ้างงาน แบ่งเป็น 2 เรื่อง คือ ไม่รับพนักงานใหม่ 39% และลดจำนวนพนักงาน 12%
แม้ภาครัฐได้ผ่อนปรนมาตรการ Lockdown เปิดให้ธุรกิจต่างๆ เกือบทุกประเภทเปิดดำเนินการได้ปกติแล้ว แต่ทุกอุตสาหกรรมยังต้องรัดเข็มขัด ดูแลต้นทุน และประกาศชัดว่าจะไม่ปรับขึ้นเงินเดือน และไม่แจกโบนัสถึงสิ้นปีนี้หรือปีหน้า เพราะกลัวว่าจะเกิดสถานการณ์ระบาดซ้ำ (Second Wave) ทำให้ภาครัฐต้องประกาศ Lockdown อีกครั้ง ผู้ประกอบการมองว่าสถานการณ์จะดีขึ้นต่อเมื่อมีวัคซีนป้องกันโรค
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ ดัชนีความสุขในการทำงาน ก่อนโควิดอยู่ 85% แต่หลังโควิดอยู่ที่ 59% ขณะที่คนไม่มีความสุขในการทำงานเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งก็มาจากรูปแบบการทำงานที่บ้าน โดยเกือบ 50% บอกว่าชั่วโมงการทำงานแต่ละวันมากขึ้น เพราะบริษัทเห็นว่าไม่ต้องเดินทางมาออฟฟิศ หลายองค์กรจึงคาดหวังการทำงานแต่ละโปรเจกต์ให้เสร็จเรียบร้อยในแต่ละวัน ไม่ต้องรอวันถัดไป นอกจากนี้ 20% หรือ 1 ใน 4 บอกว่าได้รับแรงกดดันจากหัวหน้างาน จากองค์กรในเรื่อง Productivity ที่ต้องมากขึ้น
พบว่าพนักงานในสายงานโฆษณา งานประชาสัมพันธ์ รวมถึงสายงานการตลาดดิจิทัล งานอี-คอมเมิร์ซ และงานโซเชียลมีเดีย เป็นกลุ่มสายงานที่ทำงานต่อวันเป็นระยะเวลานานขึ้นเมื่อต้องทำงานอยู่ที่บ้านอีกด้วย
เดือน พ.ค.สัญญาณจ้างงานฟื้น
นับตั้งแต่เกิดโควิด พบว่าเดือนเมษายน ยอดประกาศหางานทั้งตลาดลดลง 35% แต่หากเปรียบเทียบข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2563 กับช่วงเดียวกันปี 2562 มีการค้นหางานเพิ่มขึ้น 77 ล้านครั้ง และหากเทียบกับ 3 เดือนก่อนเพิ่มขึ้น 26%
นอกจากนี้มีการค้นหาคำแนะนำเรื่องงาน 4 ล้านครั้ง เทียบกับ 3 เดือนก่อน เพิ่มขึ้น 10% และมีคนเสิร์ช JobsDB เพิ่มขึ้นเท่าตัว สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการหางานในช่วงนี้
พบว่าการหางานในช่วงโควิด เป็นรูปแบบที่สามารถทำงานได้จากที่บ้าน โดย 36% ค้นหาคำว่า ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งมากขึ้น, 20% ค้นหาคำว่า กราฟฟิค ดีไซเนอร์, 15% หางานเกี่ยวกับการใช้ภาษา และ 12% งาน IT เช่น ไอที โปรเจกต์ แมเนเจอร์, ซีเนียร์ อินฟราสตรัคเจอร์, เว็บและแอป ดีเวลลอปเปอร์
ครึ่งปีหลัง 2563 หลังมาตรการปลดล็อกดาวน์ธุรกิจทุกประเภทแล้ว ผู้ประกอบการเชื่อมั่นในการจ้างงานมากขึ้น โดยบอกว่าอีก 6 เดือนหลังจากนี้ จะจ้างงาน 88% ผู้ประกอบการ 33% บอกว่าจะจ้างงานจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดก่อน เพื่อช่วยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
“เด็กจบใหม่”ตลาดจ้างงานก่อน
ปีนี้มีเด็กจบใหม่ (New Entry) เข้าสู่ตลาดแรงงาน 520,000 คน ปกติทุกปีเด็กจบใหม่ 20-30% ไม่สามารถหางานได้ในปีที่จบการศึกษา ช่วงโควิดจะมีตัวเลขที่สูงกว่าปกติ แต่สัญญาณการฟื้นตัวของตลาดจ้างงานในเดือนพฤษภาคม พบว่าผู้ประกอบการกว่า 53% มีแนวโน้มที่จะว่าจ้างเด็กจบใหม่ เพื่อทำงานในตำแหน่งระดับพนักงานทั่วไป และกลุ่มที่มีประสบการณ์ 1-3 ปี
ผู้ประกอบการมีแนวโน้มจ้างงานมากที่สุดใน 5 สายงาน ใน 6 เดือนข้างหน้า ได้แก่ 1.งานไอที 2.งานการตลาด/งานประชาสัมพันธ์ 3.งานขาย/งานบริการลูกค้า/งานพัฒนาธุรกิจ 4.งานต้อนรับ/งานในร้านอาหารและบริการเครื่องดื่ม และ 5.งานจัดซื้อ
ปกติสายงานไอที ไม่ว่าสถานการณ์ใด เป็นสายงานอันดับ 1 มาตลอด เป็นเทรนด์ต่อเนื่องมาหลายปี รวมทั้งในช่วงโควิด โดยงานไอที ที่ต้องงานมากอันดับต้นๆ คือ อีคอมเมิร์ซ, ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง, และพัฒนาเทคโนโลยี เป็นอาชีพงานที่มีดีมานด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องแต่ซัพพลายไม่พอ
ส่วนงานการตลาดและขาย เกิดขึ้นหลังจากปลดล็อกดาวน์ ธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดปกติ เป็นสัญญาณว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวก็จะมีการค้าขายมากขึ้น
ด้านบริการมาจากดีมานด์ในกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม บริการ F&B เริ่มกลับมาหลังรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการต่างๆ คนไทยเริ่มออกมาท่องเที่ยวในประเทศ โรงแรมจึงกลับมาจ้างงานอีกครั้ง
หลังจากผ่านช่วงวิกฤติโควิดมาแล้ว สิ่งที่องค์กรต่างๆ ต้องฟื้นฟู คือ การสร้างความเชื่อมั่นในการทำงาน ยุค New Normal ส่งเสริมความสมดุลของชีวิตและการทำงาน เพื่อลดความรู้สึกไม่มั่นคงในการทำงานที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand