HomeSXSW 2017เก็บตก 5 เทรนด์เด็ด ‘นักการตลาด’ ต้องรู้ จากเทศกาล SXSW 2017

เก็บตก 5 เทรนด์เด็ด ‘นักการตลาด’ ต้องรู้ จากเทศกาล SXSW 2017

แชร์ :

เทศกาล SXSW 2017 ที่เมือง Austin, Texas ประเทศสหรัฐอเมริกา SXSW คือเทศกาลและงานประชุมสัมมนาด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาพยนตร์ ดนตรี และ เทคโนโลยีInteractive ระดับโลกซึ่งเป็นเทศกาลที่ บรรดาบริษัทนวัตกรรมต่างๆ หรือไม่ว่าจะเป็นค่ายเพลงหรือค่ายหนัง มักจะมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และ นำเทคโนโลยีเจ๋งๆ มาอวดโฉมกันที่นี่เป็นที่แรกในฐานะเราชาวนักการตลาด หรือ ถ้าเป็นผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการตลาดละก็ งานนี้ห้ามพลาด เพราะในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับการตลาดเป็นอย่างมาก BrandBuffet สรุปเทรนด์หลักมา 5 หัวข้อใหญ่ๆ ดังนี้   

ADFEST 2024

Santos Or Jaune


1. Wearable Tech คือผู้ชนะ

ขึ้นชื่อว่า เทศกาล SXSW ก็ย่อมมีเทคโนโลยีใหม่ๆเปิดตัวมากมาย เช่น แว่น VR (Virtue Reality) ที่สามารถพบเจอได้ทั่วเทศกาล, AR (Augment Reality) Application แอพพลิเคชั่นใหม่ๆที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆให้ผู้ใช้, Snapchat glass แว่นตาที่สามารถแชร์วีดีโอ Snapchat ได้, เทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์, รองเท้าที่ทำมาจาก 3D Printer รวมถึงแบรนด์ Sony ที่เปิดตัว “Wow factory” โรงงานที่มอบประสบการณ์พิเศษให้ผู้เข้าชม โดยใช้ Xperia Touch portable projector ที่สามารถเปลี่ยนทุกพื้นผิว ให้เป็น Touch Screen ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีใคร สามารถเป็นดาวเด่นได้เท่ากับ Thad Starner ศาสตราจารย์ด้านเทคโนโลยี และผู้อยู่เบื้องหลัง Google Glass เพราะเขาได้ออกมาโชว์เทคโนโลยีใหม่นั่นคือ ถุงมือที่สามารถสอนกล้ามเนื้อของคุณให้เล่นเปียโนได้ ภายในครึ่งชั่วโมง รวมไปถึงเซ็นเซอร์ ที่สามารถทำให้สุนัขกู้ภัย สามารถติดต่อกับเจ้าของได้ Thad ปิดท้ายงานโดยกล่าวว่า “จงนำเทคโนโลยี ให้เข้าใกล้ตัวเรามากขึ้น นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ถูกต้อง”    

 

2.มองไปทางไหน ใครๆก็พูดถึง AI (แต่อย่าพึ่งกังวลไป)

ไม่แปลกใจที่ หัวข้อการสัมมนาในปีนี้ มุ่งเป้าไปที่ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ในด้านคอมพิวเตอร์, รถยนต์ หรือแม้กระทั่งด้านสุขภาพ ซึ่ง AI ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้แก้ปัญหาต่างๆโดยปริยาย รวมถึง เป็นผู้ทำลายวิชาชีพต่างๆอีกด้วย แต่ Adam Cheyer ผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ขาย Siri ให้กับ Apple รวมถึงเป็นผู้สร้างระบบ AI ชนิดใหม่ที่สามารถช่วยเหลือเราแบบข้าม Platform ได้ นามว่า “Viv” เขาโชว์ให้เห็นว่าโลก ของ AI ได้ใกล้ตัวเราเข้ามามากกว่าที่คิด รวมถึงให้ความเห็นว่า เราควรมอง AI ให้เป็นการวิวัฒนาการของ”เครื่องมือมนุษย์”มากกว่า ที่จะมองด้านลบต่อ AI เพียงอย่างเดียว

 

3.อนาคตของโลกโฆษณา อาจจะไม่ได้อยู่ในแค่ VR เสมอไป

หนึ่งในโซนที่ได้รับความสนใจอย่างมากในงาน คือ HBO Escape Room ซึ่งคือบูธที่จัดขึ้นโดย HBO นั่นเอง HBO Escape Room เป็นห้องที่จำลองเหตุการณ์ในซีรีย์ดัง อย่างปราสาท Castle Black ในซีรีย์ Game of Throne, ห้องประธานาธิปดี ในซีรีย์ Veep และ ห้องแฮคเกอร์ ในซีรีย์ Silicon Valley ผู้เข้าชมจะต้องเข้าไปในห้อง และหาทางออกให้ได้ผ่านปริศนาที่อยู่ในแต่ละห้อง ไอเดียการนำเรื่องราวในภาพยนตร์มาสร้างเป็น “ของจริง” ให้ผู้ชมเข้าสัมผัสไม่ใช่ไอเดียใหม่ แต่สิ่งนี้กำลังจะบอกอนาคตของวงการโฆษณาต่อจากนี้ ว่าสิ่งที่ควรโฟกัส อาจไม่ใช่ VR อย่างเดียวโดยเสมอไป เพราะถึงแม้ VR จะพาเราให้เข้าไปสู่อีกโลกนึงได้ แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าผู้เข้าชมไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูป หรือแชร์ประสบการณ์ดีๆให้เพื่อนๆเขารับรู้ได้? แน่นอน เราคงแชร์ภาพเราใส่แว่น VR แต่เราจะแชร์สักกี่ครั้งในชีวิตเชียว? HBO Escape Room ประสบความสำเร็จเพราะนำ “ประสบการณ์จริง” ที่สนุกสนาน และสามารถแชร์ได้ ถ่ายรูปได้ สัมผัสได้ ซึ่ง “การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ” น่าจะเป็นอนาคตของโลกโฆษณา มากกว่า เทคโนโลยี VR นั่นเอง

(ภาพภายในปราสาท Castle Black จากซีรีย์ Game of thrones)

4.โลก Start-up กำลังถูกตั้งคำถาม

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้กระแส Start-up ที่กำลังมาแรง ได้ทำให้นักศึกษาหลายคน จากทั้งมหาวิทยาลัย Harvard, Stanford และจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก ดรอปเรียนมาทำ Start-up หรือธุรกิจของตัวเองกันเป็นทิวแถว ไม่เพียงแค่นั้น ผู้คนทั่วโลก กำลังมองหา “อาชีพที่2” โดยการลาออกจากโลกของบริษัท เพื่อก้าวสู่ธุรกิจของตัวเอง Adam Graham หนึ่งในวิทยากรของงาน SXSW interactive ได้โชว์สถิติของ ธุรกิจ Start-up ในปีที่ผ่านมา และได้ให้ความเห็นว่า “การดรอปเรียนมหาวิทยาลัยนั่น ไม่ได้ทำให้เกิด ไอเดียที่ดีเลย ในความเป็นจริงแล้ว ความสำเร็จของธุรกิจ Start-up ที่ผ่านมา ล้วนเกิดจากกระบวนการทดลองมากมายนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมันไม่ได้ประสบความสำเร็จในครั้งแรกด้วยซ้ำ”    

 

5.เมื่อพูดถึงเรื่อง Content ให้คิดถึง ”คุณภาพ”มากกว่า “ปริมาณ”

หัวข้อเรื่อง Content Marketing และ Trend ได้ถูกนำเสนอโดย Brad Jakeman, President ของ PepsiCo เขากล่าวว่า “เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่างๆได้สร้าง Content ด้วยงบประมาณมหาศาล ประมาณแค่ 4 ชิ้นต่อปี แต่มาทุกวันนี้ แบรนด์ต่างๆ กลับสร้าง Content มากกว่า 400-4,000 ชิ้นต่อปี ด้วยงบประมาณที่น้อยนิด” ผู้เข้าร่วมงานต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าสิ่งนี่คือ “การระเบิดของContent” เพราะ Content มากมายได้ถูกยัดเยียดเข้าสู่ผู้บริโภคโดยไม่เกิดประสิทธิภาพเลย ซึ่งแบรนด์ควรคำนึงถึงการสร้าง”คุณภาพ” ของ Content มากกว่าที่จะแข่งกันสร้าง “ปริมาณ”

ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีเอื้ออำนวย ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง Content แบบสดๆ หรือ ก้าวข้าม Platform ไปมาได้ สิ่งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่แบรนด์จะทำ Content “คุณภาพ” เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และ สร้างฐานแฟนๆ ของแบรนด์ขึ้นมา ซึ่งผู้ร่วมงานสัมมนาก็ได้เห็นพ้องต้องกันอีก ว่า “ในฐานะนักสร้างแบรนด์ และนักการตลาด ในยุคนี้เราไม่สามารถทำตัวขายของได้ตลอดเวลา และ นั่นคือสิ่งที่แตกต่างระหว่าง Advertising และ Content” หนึ่งในผู้เข้าร่วมสัมมนากล่าวเสริมว่า “ด้วย Content Marketing คุณสามารถเขียนเรื่องราว ที่นำไปสู่ยอดขายได้ ซึ่งนั่นคือผลสำเร็จ มากกว่าแค่ป่าวประกาศให้คนมาซื้อของของคุณ”    

 

Story by Nuttanun V.

อ้างอิง : campaignlive , theverge


แชร์ :

You may also like