“ตั้งแต่วันแรกที่ผมเปิดบริษัท WARRIX หลายคนบอกว่าไม่มีโอกาสให้กับคนทำแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาอีกแล้ว
เพราะในตลาดนี้ มีทั้งแบรนด์ใหญ่ระดับโลกที่ยึดครองเต็มพื้นที่ ทั้งยังมีทุน และพรีเซ็นเตอร์
ขณะเดียวกันยังมี Local Brand รุ่นพี่ยึดตลาดมานาน ส่วนเราเกิดใหม่ ไม่น่ามีโอกาสเกิดได้…”
คุณวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (WARRIX) เล่าย้อนหลังถึงจุดเริ่มต้นธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา “WARRIX” เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ที่นับตั้งแต่ก้าวแรกก็ถูกมองว่าเป็นไปได้ยากที่จะแจ้งเกิดแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาสัญชาติไทยอีกหนึ่งแบรนด์ ในสมรภูมิการแข่งขันที่เต็มไปด้วย Major Player แข็งแกร่งที่อยู่ในตลาดมายาวนาน
ถึงวันนี้เป็นเวลา 7 ปีแล้วที่แบรนด์ “WARRIX” ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งกับการเป็นชุดทีมนักกีฬาทีมชาติไทย, ชุดนักฟุตบอลสโมสรจังหวัด ไปจนถึงเป็นชุดเล่นกีฬา – ออกกำลังกายของใครหลายคน และเป็นเสื้อที่ใส่ในชีวิตประจำวัน
และเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ “WARRIX” ไม่หยุดอยู่แค่การเป็น “แบรนด์ชุดกีฬา” เท่านั้น หากแต่ได้วางยุทธศาสตร์ไปสู่การเป็นแบรนด์ “Health & Lifestyle” ที่ในอนาคตมี 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
1. ธุรกิจชุดกีฬา และอุปกรณ์กีฬา
2. ธุรกิจเพื่อสุขภาพ
3. ธุรกิจอาหาร
4. ธุรกิจสินค้าอุปโภค (Consumer)
ขณะเดียวกันเวลานี้ยังได้เตรียมการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขยายธุรกิจ และเดินตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้
Brand Buffet ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “คุณวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, WARRIX” ถึงรายละเอียดเจาะลึกแผนธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ เพื่อขยายธุรกิจไปสู่ Health & Lifestyle และแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์
Game Changer ใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง สู่การเป็นแบรนด์ระดับชาติ
WARRIX เริ่มต้นปลุกปั้นแบรนด์ ด้วยการทำ “Local Marketing” หรือ “กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง” โดยคว้า license ชุดสโมสรฟุตบอลจังหวัดต่างๆ เช่น นครราชสีมา, เชียงใหม่, อุบลราชธานี, อุดรธานี ฯลฯ
ในขณะที่ช่องทางการขาย ใช้ทั้งโมเดลการขายส่ง (Wholesale) เพื่อสร้างเครือข่ายร้านค้าจำหน่ายสินค้าของ WARRIX ควบคู่กับการสร้างพันธมิตรช่องทางร้านค้าปลีกต่างๆ ประกอบกับการวางราคาจำหน่ายของแบรนด์ อยู่ในระดับราคาเข้าถึงง่าย
คุณวิศัลย์ เล่าเหตุผลที่ตัดสินใจใช้โมเดลขายส่งว่า ในวันแรกที่เกิดแบรนด์ WARRIX บริษัทปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องใช้โมเดลขายส่ง เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถสร้างแบรนด์ได้เลย เนื่องจากไม่มีช่องทางกระจายสินค้าให้
อีกทั้งเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พัฒนาดีอย่างในปัจจุบัน และแบรนด์ WARRIX ยังไม่แข็งแรงพอที่จะทำให้ลูกค้า Search บนออนไลน์คำว่า WARRIX จึงทำให้ในช่วง 3 ปีแรก ต้องค่อยๆ ทำ Local Marketing เริ่มจากต่างจังหวัดก่อน
จากนั้นเมื่อฐานตลาดต่างจังหวัดแข็งแรง “WARRIX” ได้ตัดสินใจสร้างแบรนด์ระดับประเทศ เพื่อให้คนไทยทั่วประเทศได้รู้จัก ด้วยการคว้า license ผลิตและจำหน่ายชุดฟุตบอลทีมชาติไทย ทำให้ WARRIX กลายเป็น Sport Wear แบรนด์ไทยคลื่นลูกใหม่มาแรง
และไม่เพียงแต่ได้ license สโมสร – ทีมชาติประเทศไทยเท่านั้น “WARRIX” ยังได้ license สโมสร และทีมชาติกีฬาในบางประเทศของอาเซียน
หลังจากชื่อของ WARRIX เป็นที่รู้จักในวงการกีฬา ได้ขยายฐานไปยังตลาดอื่นๆ เพื่อผลักดันแบรนด์ และสินค้าของ WARRIX เป็นมากกว่า “ชุดกีฬา” แต่คือ “แบรนด์ไลฟ์สไตล์” ที่สามารถอยู่กับผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุกไลฟ์สไตล์
“เราสร้างความแตกต่างในฐานะเป็น Game Changer ที่เข้าไปเปลี่ยนในหลายๆ เกม ด้วยการได้ license ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล, สถาบันต่างๆ, อีเว้นท์, และได้ License งานด้านไลฟ์สไตล์ อย่างคอนเสิร์ต Big Mountain Festival ที่เราได้เป็นผู้ผลิตและจำหน่าย Merchandise ของงาน”
ลงทุนดิจิทัล พลิกวิกฤต COVID-19 สร้างโอกาสธุรกิจบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา “WARRIX” ลงทุนด้านดิจิทัล ทั้งระบบหลังบ้าน และหน้าบ้าน เพื่อพัฒนาช่องทาง e-Commerce, Social Commerce ผลจากให้ความสำคัญกับดิจิทัล ทำให้ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 สามารถพลิกวิกฤตจากการที่บางช่องทางการขายต้องหยุดชะงักชั่วคราว กลายเป็นโอกาสธุรกิจทางช่องทางออนไลน์ ที่นำ Data มาวิเคราะห์ เพื่อสนับสนุนทั้งด้านการขาย การสื่อสาร และนำเสนอสินค้าที่สามารถลงลึกในระดับ Personalization
“ธุรกิจเปลี่ยนไปรวดเร็วอย่างมากในช่วง 3 – 5 ปีนี้ ทำให้ปลาเล็ก หรือแบรนด์ใหม่อย่างเรา ไม่ได้เสียเปรียบรายใหญ่อีกต่อไป เนื่องจากสามารถใช้ออนไลน์ทำการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ในต้นทุนไม่สูง โดยไม่จำเป็นต้องมีทุนเยอะ ถึงจะเอาชนะได้ และเมื่อโลกเปลี่ยน เราเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลง
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เราลงทุนในออนไลน์ ไม่ว่าในด้านการตลาด และการขาย ซึ่งพอเจอ COVID-19 ช่องทางออนไลน์ กลายเป็นตัวที่ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยในช่วงปิดห้างฯ พบว่ายอดขายออนไลน์ของ WARRIX เติบโตจาก 15% ขึ้นไปเป็น 35% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีกับบริษัทฯ
หลังจาก COVID-19 ทำให้ Business Landscape เปลี่ยนไปมาก โดยจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ทำให้ Channel Mix เปลี่ยน พอร์ตการขายของเราจึงเปลี่ยนตาม”
คุณวิศัลย์ ขยายความเพิ่มเติมว่า ได้สังเกตเห็นทิศทางการเปลี่ยนแปลงของห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ทำให้บริษัทฯ ไม่ได้เน้นเปิดช้อปในห้างฯ เยอะๆ แต่เอางบประมาณ หรือกำไรที่มีมาลงทุนในช่องทางออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซแทน
โดยขายผ่านทั้งเว็บไซต์ เป็น Own Channel ที่พัฒนาขึ้นเอง และจำหน่ายผ่าน e-Marketplace, Social Media แต่พบว่ายอดขายช่องทางออนไลน์ของบริษัทฯ มาจากเว็บไซต์ มากกว่าผ่าน e-Marketplace
เนื่องจากบริษัทฯ ลงทุนระบบ และ Infrastructure เพื่อพัฒนาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายออนไลน์จากเว็บไซต์ มากกว่า 50% ของพอร์ตธุรกิจออนไลน์ WARRIX ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อื่นทั่วไป ที่ยอดขายจาก e-Marketplace จะมากกว่าช่องทางเว็บไซต์
“ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้า WARRIX จากหน้าเว็บไซต์มากกว่าช่องทางอื่น เพราะเราลงทุนพัฒนาทั้งระบบหน้าบ้าน และหลังบ้านร่วมกัน ทำให้บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของเรา มีทั้งความปลอดภัย รวมทั้งสร้างฐานลูกค้าในเว็บไซน์มากกว่า และทำ Retarget
มีนักการตลาดออนไลน์พูดว่า เว็บไซต์คือบ้านถาวร ในขณะที่ช่องทางอื่นนอกเว็บไซต์ คือ บ้านชั่วคราว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็น e-Marketplace, Social Media มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เว็บไซต์ เราทำเอง กำหนดได้เอง และทำให้เราสามารถบริหาร Data ของเราได้ดีที่สุด”
นอกจากนี้บนเว็บไซต์ WARRIX นอกจากจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุดเสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ของตัวเองแล้ว ยังได้จับมือกับพันธมิตรอุปกรณ์กีฬาแบรนด์อื่น และแบรนด์ผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าต่างๆ ที่อยู่ไลฟ์สไตล์ นำมาจำหน่ายบนแพลตฟอร์มเว็บไซต์ของ WARRIX ด้วยเช่นกัน
“COVID-19 ทำให้ WARRIX เอาแผนธุรกิจที่จะเกิดขึ้นใน 3 – 5 ปีข้างหน้า มาทำทันที นั่นคือ เปลี่ยนคอนเซ็ปต์ช่องทางเว็บไซต์ของเรา จากเดิมที่ขายเฉพาะแบรนด์เราอย่างเดียว ได้พัฒนาเป็นรูปแบบ Mall.com คือ ไม่ได้ขายเฉพาะสินค้าของ WARRIX เท่านั้น แต่เรายังขายสินค้ากีฬาครบทุกประเภท โดยเป็นแบรนด์พันธมิตร ที่ไม่ได้เป็นสินค้าแข่งกับเรา
รวมทั้งจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันต่างๆ นำมาจำหน่ายบนแพลตฟอร์มเว็บไซต์ของ WARRIX ด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งพัฒนาโมเดล Omni-channel ที่เชื่อมต่อ Online กับ Offline เข้าด้วยกัน เพื่อ Win – Win ทุกฝ่าย ทั้งเรา พันธมิตร และลูกค้าได้ซื้อสินค้าสะดวกขึ้น”
“Data Management” เพิ่มประสิทธิภาพทำการตลาดเข้าถึงผู้บริโภคเฉพาะเซ็กเมนต์ – เฉพาะบุคคล
ผลจากการลงทุนดิจิทัล ทั้งระบบ ทำให้ “WARRIX” สามารถสร้างฐานข้อมูลลูกค้า หรือ Big Data เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ ใช้สำหรับวางแผนสื่อการตลาด และตอบโจทย์ลูกค้าให้ตรงความต้องการ ในต้นทุนที่ต่ำลง
ที่ผ่านมาในช่วง 5 ปีแรกของการทำตลาด WARRIX มีกลุ่มลูกค้าหลักอายุ 25 ปีขึ้นไป จนถึงอายุ 60 ปี และมากถึง 85% เป็นกลุ่มผู้ชาย แต่หลังจากทำการตลาดเชิงไลฟ์สไตล์มากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มเยาวชน และคนรุ่นใหม่มากขึ้น
เช่น พัฒนาโปรดักต์สำหรับเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม อย่างทำเสื้อสีรุ้ง สำหรับทำตลาดเข้าถึงกลุ่ม LGBT+ พร้อมทั้งทำแคมเปญสื่อสารถึงการเป็นแบรนด์ที่สนับสนุนความเท่าเทียมกัน, จับมือกับคอนเสิร์ต Big Mountain Festival ทำให้ได้ฐานผู้บริโภคกลุ่มอายุ 15 – 25 ปี เป็นลูกค้าใหม่ของแบรนด์ ขณะเดียวกันมีการใช้ KOLs ในโลกออนไลน์ มาสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ส่งผลให้ทุกวันนี้ฐานลูกค้า WARRIX ขยายกว้างขึ้นไปยังผู้บริโภคหลายกลุ่ม โดย 60% เป็นกลุ่มลูกค้าผู้ชาย และ 40% เป็นลูกค้าผู้หญิง และ LGBT+
“เราเก็บ Data, มีการใช้ Machine Learning และทำ Data Protection เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล และเอา Data ไปวิเคราะห์ ยกตัวอย่างสินค้าบางกลุ่ม เราผลิตขึ้น เพื่อทำ Niche Market เฉพาะกลุ่ม เช่น เสื้อโปโลสำหรับลูกค้า Big and Tall ที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 80 – 100 กว่ากิโลกรัม
Insight ผู้บริโภคกลุ่มนี้ หาซื้อเสื้อยาก ดังนั้นเราได้พัฒนาสินค้าสำหรับผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยเฉพาะ และเวลามีเสื้อรุ่นใหม่ – สีใหม่ หรือกิจกรรมส่งเสริมการขาย เรายิงโฆษณาตรงไปที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ พบว่า เขาซื้อซ้ำ 5 – 15 ตัวต่อปี เมื่อเรามีสื่อโฆษณา Feed ไปที่หน้า Social Media ของเขา
นี่เป็นการเอา Data มาสื่อสาร และนำเสนอโปรโมชั่น สอคล้องกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ทำให้เกิดการซื้อซ้ำมากขึ้น และทำให้ต้นทุนการโฆษณาถูกลง ในขณะเดียวกัน Conversion Rate สูงขึ้น และลูกค้าได้ส่วนลด แต้มสะสม หรือโปรโมชั่นตรงกับที่เขาต้องการเฉพาะบุคคล ทำให้ Win – Win ทุกฝ่าย”
จากเสื้อผ้ากีฬา ขยายสู่ “Health & Lifestyle Brand” และวางแผนสร้าง “Smart Warehouse”
เมื่อพูดถึงแบรนด์ “WARRIX” แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่นึกถึงแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของ Sport Wear สัญชาติไทยแบรนด์นี้ ทว่ายุทธศาสตร์ธุรกิจ WARRIX จากนี้ จะไม่จำกัดอยู่แค่การเป็นเสื้อผ้า – อุปกรณ์กีฬาเท่านั้น แต่จะเป็นแบรนด์ Health & Lifestyle
ภายใต้ยุทธศาสตร์ Diversify ธุรกิจใหม่ของ “WARRIX” ประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจ (Business Unit) คือ
กลุ่มธุรกิจ 1 “Sport Business” เป็นรากฐานของแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ยังคงดำเนินธุรกิจกลุ่มนี้ต่อเนื่อง
กลุ่มธุรกิจ 2 “Health Business” ครอบคลุมทั้งธุรกิจบริการเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ Supplement โดยเริ่มต้นจากธุรกิจบริการเพื่อสุขภาพก่อน ด้วยการเปิด WARRIX คลนิกกายภาพบำบัด มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ให้คำปรึกษา ให้องค์ความรู้ด้านโภชนาการ การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และด้านกายภาพ
และต่อไปกลุ่มผลิตภัณฑ์ Supplement จะตามมา เช่น อาหารเสริม, วิตามิน ที่ตอบโจทย์สุขภาพ
กลุ่มธุรกิจ 3 “Healthy Food” จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม ที่มีความต้องการอาหารแตกต่างกัน เช่น อาหารออแกนิค, อาหารสำหรับผู้สูงอายุ, อาหารสำหรับนักกีฬา โดยยังคงจุดแข็งแบรนด์ WARRIX คือ “ราคาเข้าถึงได้” ไว้เช่นเดิม
กลุ่มธุรกิจ 4 “Consumer Product” ที่ไม่ใช่สินค้าอาหาร แต่ตอบโจทย์สุขภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค และเป็นสินค้าอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยในส่วนนี้ WARRIX สร้างความร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ เพื่อคัดสรร นำมาจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม WARRIX หรือใช้โมเดลพัฒนสินค้าร่วมกัน เช่น ปัจจุบันบนเว็บไซต์ WARRIX ได้ร่วมมือกับ CP Consumer คัดสรรสินค้าบางประเภท นำมาจำหน่าย เช่น ผ้าอ้อมผู้สูงอายุ
“เป้าหมายใหญ่ของ WARRIX ต่อไปโมเดลธุรกิจไม่ได้ทำแค่ชุดกีฬา แต่เราจะเป็น Health & Lifestyle Brand ซึ่งชุดกีฬาคือหนึ่งในนั้น ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่อยู่ภายใต้คำว่า Health และ Lifestyle เราจะเดินไปในทิศทางนั้น”
นอกจากนี้ยังมีแผนสร้าง “Smart Warehouse” จากปัจจุบันมีคลังสินค้า 1 แห่งที่กิ่งแก้ว โดยคลังสินค้าอัจฉริยะที่จะสร้างขึ้นนี้ คุณวิศัลย์ เล่าว่า เป็นโมเดลเดียวกับ Alibaba ที่ใช้เทคโนโลยีทั้งระบบ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ที่ต่อไปจะมีสินค้าด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์มากขึ้น
“Smart Warehouse จะทำให้การบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพดีขึ้น อย่างในปัจจุบัน ถ้าเป็นคลังสินค้าทั่วไป ถ้าเป็นแรงงานคน การหยิบของชิ้นหนึ่ โดยเฉลี่ยใช้เวลา 5 นาที แต่ถ้าเป็นหุ่นยนต์ ใน 1 ชิ้น จะใช้เวลา 8 วินาที”
เตรียมตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจให้เป็นจริง!
สำหรับผลประกอบการของ “บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด” ในปี 2562 ยอดขาย 700 ล้านบาท และได้ปรับลดเป้ายอดขายปี 2563 จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ลงมาอยู่ที่ 710 ล้านบาท แต่คาดว่าปีนี้จะมีกำไรมากขึ้น เนื่องจากสัดส่วนช่องทางการขายเปลี่ยนแปลง จากเดิมเน้นขายผ่านช้อป และร้านค้าส่ง ซึ่งต้องมีส่วนลดทางการค้าให้กับร้านค้า และให้ Credit term แต่เมื่อสัดส่วนการขายปรับมายังช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ไม่ต้องมีส่วนลดทางการค้า และสามารถเก็บเงินสดได้ทันที ส่งผลให้มีต้นทุนธุรกิจลดลง ซึ่งเป็นผลดีกับผลกำไร
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนธุรกิจ “WARRIX” ภายใต้ยุทธศาสตร์ธุรกิจ 4 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว รวมถึงการสร้าง Smart Warehouse จำเป็นอย่างยิ่งต้องใช้งบลงทุน
“ทั้ง 4 Business Unit ดังกล่าว ถ้าเดินให้ได้เต็มกำลัง ต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมาเราใช้เวลาเตรียมตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งต้องพิจารณาอีกทีว่าจะจดทะเบียนใน SET หรือ MAI
เราคาดว่าปิดงบสิ้นปีนี้ และถ้าเป็นไปตามแผน คาดว่าน่าจะยื่นไฟลิ่งในช่วงก่อนสงกรานต์ ปี 2564 และประมาณช่วงเดือนกันยาน – ตุลาคม น่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก (First Day Trade) ได้
ถึงเวลานั้นจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังในการลงทุนตามที่วางไว้ ทั้งเรื่องของ 4 กลุ่มธุรกิจ, การพัฒนา AI Machine Learning, ใช้ระบบ Robotic มากขึ้น และทำ Smart Warehouse เพื่อก้าวสู่อีคอมเมิร์ซเต็มตัว”
จากธุรกิจ SME ที่เริ่มต้นท่ามกลางแบรนด์ใหญ่ แต่ตลอดระยะเวลา 7 ปี “WARRIX” พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแบรนด์ SME ไทยก็สามารถแจ้งเกิดได้ และกลายเป็นดาวดวงใหม่ที่น่าจับตามอง
“วันแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ เรามองภาพแบรนด์ตัวเองเป็นสินค้าชุดกีฬา และอุปกรณ์กีฬา ไม่ได้มองไปถึงยุทธศาสตร์ 4 กลุ่มธุรกิจ Health & Lifestyle และไม่คิดว่าเราจะเติบโตเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เร็ว แต่เรามาเร็วกว่าที่ผมฝันไว้ในวันแรกที่เปิดบริษัท
อย่างทุกวันนี้ เวลาไปตามสนามกอล์ฟ สปอร์ตคลับดีๆ ที่เข้าไปแล้วจะเห็นคนชุดกีฬาแบรนด์ระดับโลก แต่วันนี้เห็นคนใส่เสื้อที่มีโลโก้ WARRIX แล้ว หรือในหน่วยงานราชการ และองค์กรเอกชน นำเสื้อแบรนด์เราไปเป็นยูนิฟอร์มองค์กร ทีม หรือสโมสร ที่ไม่ได้แค่กีฬาฟุตบอล แต่เป็นเสื้อที่ในชีวิตประจำวัน ในวันทำงาน ในวันหยุด แสดงให้เห็นว่าลูกค้าให้การยอมรับในแบรนด์ WARRIX” คุณวิศัลย์ สรุปทิ้งท้าย