HomeFeaturedไมโครซอฟท์ เผย เทรนด์-เทคโนโลยีอนาคตสำหรับธุรกิจ ปี 2020

ไมโครซอฟท์ เผย เทรนด์-เทคโนโลยีอนาคตสำหรับธุรกิจ ปี 2020

แชร์ :

การที่เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามา Disrupt การใช้ชีวิต แถมยังมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องส่วนตัวไปจนถึงรูปแบบการทำงาน ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปด้วย และนับวันปรากฏการณ์นั้นก็มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเท่าทวี นี่จึงเป็นสาเหตที่ทำให้ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย)จำกัด จัดงาน Modern Technology to Empower Your Business ติดอาวุธธุรกิจไทย ก้าวไกลด้วยเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเปิดวาร์ปโลกการทำงานในอนาคต ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนไปในอนาคตอันใกล้อีก 2 ปี นับจากนี้ โดยมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เช่น

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เทรนด์มาแรง ‘เวิร์คเพลส’ แห่งอนาคต     

คุณวิสสุต เมธีสุวกุล ผู้จัดการอาวุโสผลิตภัณฑ์ออฟฟิศ บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นเวทีกล่าวบรรยายในหัวข้อ “จับตาเทรนด์ใหม่โลกธุรกิจ 2020 เปลี่ยนวันนี้ ไม่มีตกขบวน” ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจากนี้ไป หรือในพ.ศ. 2563(ปี2020) สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีกระแสหลักสำคัญที่น่าสนใจ และต้องจับตามอง คือ

  1. เวิร์คเพลส(Work Place) สถานที่ทำงาน องค์กร ธุรกิจต่างๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด จากจำนวนประชากรคนรุ่นใหม่ นักศึกษาจบใหม่จะทยอยเข้าสู่การทำงานในองค์กรมากขึ้น เป็นยุคของวัฒนธรรมคนเจนเนอเรชันมิลเลนเนียม(Millennium Generation – Gen M) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราวๆ 50% ของคนในออฟฟิศ คนกลุ่มนี้จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับการทำงานในองค์กร บริษัทยุคใหม่จึงควรคำนึงถึงไลฟ์สไตล์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงตามมาด้วย เพื่อให้คนในองค์กรทั้งเก่า-ใหม่ หลากหลาย Gen ทำงานร่วมกันได้
  2. ในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า จะมีปริมาณข้อมูลที่อยู่รอบๆ ตัวเราอย่างมหาศาลหรือราว 10 เท่าตัวทีเดียวเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน ขณะที่ ตัวพนักงาน คนทำงาน จะใช้เวลาเฉลี่ย 6 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ในการสืบค้นหาข้อมูล
  3. พฤติกรรมคนทำงานรุ่นใหม่นี้ ยังพบว่ามีสัดส่วนถึง 47% ที่รู้สึกว่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ไปกับการประชุม (ที่มองว่าข้อสรุปไม่ได้อะไรออกมา เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม)

นอกจากนี้ ยังพบว่าไลฟ์สไตล์การทำงานของคนทำงานเจนฯ เอ็มในอนาคต ก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป และหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นในเรื่องต่างๆ ดังนี้ 85% ใช้เวลาน้อยวันต่อสัปดาห์ในการทำงานออฟฟิศ, 79% ให้คุณค่าของ work-life integration มากขึ้น ซึ่งเป็นการเบลนด์กันระหว่างการทำงาน และ การใช้ชีวิตส่วนตัว จากเดิมที่มีแนวคิด การทำงานและการใช้ชีวิตสมดุล work balance life แต่มีเพียง 63% ได้รับโอกาสในการทำงานที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ และมี 67 ใน 100 เท่านั้น ที่รู้สึกว่าที่ทำงานของตัวเองเป็น Modern Workplace

ทีนี้ลองหันมาดูข้อมูลทางเทคนิคในการทำงานกันบ้าง คุณวิสสุต ชี้ให้เห็นว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า จะมีข้อมูลปริมาณไม่ต่ำกว่า 4.4 หมื่นล้านเทราไบต์ ซึ่งจากความมหาศาลของข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้เกิดความสับสนของการสืบค้นหาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในการทำงานได้ ขณะที่บริษัทชั้นนำในอาเซียนเองก็มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนถึง 750 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ ตามมูลค่าตามราคาตลาด จากการโจมตีทางไซเบอร์

และการที่เราสนิทชิดเชื้อกับเทคโนโลยีมากขึ้นจนถึงขั้นไว้ใจให้เข้ามาเป็นส่วนหนี่งของกันและกันในทุกๆ วัน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่คนทำงานจะถูกรบกวนทุกๆ 3 นาที ทำให้ขาดสมาธิในการทำงาน รวมถึงยังมีการเปิดโปรแกรม ไม่น้อยกว่า 8 หน้าต่าง ระหว่างการทำงาน  และ การประชุมที่ต่อเนื่องและยาวนานเกินไป ทำให้พนักงานรู้สึกสูญเสียเวลาในการทำงาน

ดังนั้น แนวโน้มของเวิร์คเพลส หรือ สถานที่ทำงานแห่งอนาคตในอีก 2 ปีข้างหน้าของคนทำงานรุ่นใหม่ จะต้องมองถึงวัฒนธรรมการทำงานที่ทันสมัย สามารถทำงานได้ทุกทุกที่ ทุกระบบปฏิบัติการ ทั้งแอนดรอยด์ ไอโอเอส แท็บเล็ต หรือ เซอร์เฟซ ฯลฯ ต่อไปนี้จะต้องสามารถเชื่อมต่อการทำงานได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับที่ผลิตภัณฑ์ Microsoft 365 ซึ่งคำนึงถึงเรื่องนี้และมีฟีเจอร์การเชื่อมต่อเพื่อให้การทำงานเป็นไปตามความต้องการของพนักงานยุคใหม่ และให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งยังมีการนำ เอไอ (AI: Artificial Intelligence) มีส่วนร่วมในการทำงานพร้อมสร้างความคิดสร้างสรรค์ และทีมเวิร์ค ด้วย 

GEN-M เคลื่อนสู่แรงงานยุคดิจิทัล

ในอดีตเมื่อเราพูดถึงเรื่องราวของ งานออกแบบ ความคิดสร้างสรรค์ งานที่ใช้จินตนาการล้ำๆ เราเชื่อว่างานเหล่านั้นเป็นงานของ “มนุษย์” เท่านั้น และคำว่าความคิดสร้างสรรค์ยังอยู่ห่างไกลจากเทคโนโลยี แต่เมื่อโลกของการทำงานยุคใหม่กำลังเปลี่ยนไป ความเชื่อเดิมๆ เหล่านั้นไม่ถูกลบล้างโดยสิ้นเชิง ในหัวข้อ “ต่อยอดความสร้างสรรค์ทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยี” จากการบอกเล่าของ คุณสัมภาษณ์ กูลวิสุตป์จิต IT Director ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (TCDC-Thailand Creative & Design Centter) จะเป็นผู้นำเสนอตัวอย่างดังกล่าวให้เราได้เห็นกัน

การใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจธุรกิจสร้างสรรค์นั้น เริ่มจากการนำมาเจอกับเทคโนโลยี (Creative meet Technology)  ซึ่งในขั้นของการทำงานธุรกิจจะต้องผ่านกระบวนความคิดหลายขั้นตอน ต้องผ่านการปรับจูนให้เข้าที่ก่อน ทั้งจากความคิดที่ฟุ้งซ่านลอยในอากาศก่อนตบให้เข้ารูปร่าง เพื่อให้ได้แนวคิด(Idea) การแก้ปัญหา(Solutions) จนได้รูปแบบที่ยอมรับ(Acceptance) ได้ในที่สุด

ขณะที่การทำงานภายในองค์กรในปัจจุบัน ที่มีทั้งกลุ่มคนเจนฯ เอ็ม (Generation M) ไปจนถึงเจนฯ ซี(Generation Z) ซึ่งแนวทางการทำงานที่แตกต่างไปจากคนทำงานในรุ่นก่อนโดยสิ้นเชิง เช่น เขาเหล่านี้อาจจะเหมือนไม่มีสมาธิในการทำงาน แต่ถ้าหากว่าใช้วิธีการมอบหมายงานแล้วให้ไปหาคำตอบ พวกเขาอาจจะกลับมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ซึ่งวิธีการอาจจะมาจากการแชทไป-มาระหว่างกัน ผู้บริหารเองจึงควรเปิดรับกับวิธีการทำงานแบบนี้ด้วย

นอกจากนี้ คนทำงานกลุ่มดังกล่าว ยังมีแนวคิดต่อการทำงานร่วมกับระดับบริหารคนรุ่นปัจจุบันที่พวกเขาเรียกว่า YOLO (You Only Leave Once)  ด้วยมองว่า บุคคลเหล่านี้จะไม่ได้ทำงานอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดเวลา เพราะในอนาคตต้องจากไป แต่พวกเขาคือกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่จะนำสิ่งใหม่ๆ มาให้กับองค์กร ดังนั้นการทำงานของทุกฝ่ายในตอนนี้ ควรเปิดรับสิ่งใหม่ เปิดวิธีแนวคิดทั้ง Work Life และ Life Work ไปพร้อมกัน

โดยเฉพาะในโลกการทำงานที่กำลังจะเปลี่ยนไป การนำ Instant Messaging ต่างๆ มาใช้ในการทำงานระหว่างกันมากขึ้น ถึงแม้ว่าสิ่งนี้อาจดูไม่ชอบมาพากลนักสำหรับคนทำงานยุคก่อน แต่เป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาในโลกการทำงานปัจจุบันและ อนาคตอันใกล้นี้

ขณะที่ TCDC ซึ่งเป็นองค์กรด้านนักสร้างสรรค์ การออกแบบ ก็ได้ปรับตัวครั้งใหญ่ด้วยการนำเครื่องมือ เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานภายในองค์กร ที่แม้ว่าจะให้ความเป็นอิสระในการทำงานที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ และคำนึงถึงคนเก่าแก่ที่มีอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีกฎเกณฑ์ที่สามารถ Tracking ความเคลื่อนไหวของการใช้งานไอทีภายในองค์กรเพื่อความปลอดภัยด้วยเช่นกัน ซึ่งทีซีดีได้เลือกใช้พันธมิตรทางเทคโนโลยีภายใต้โซลูชันส์ที่เหมาะสมกับการทำงานในองค์กร

เช่นเดียวกับการทำธุรกิจของผู้ประกอบการที่ต้องเลือกพาร์ทเนอร์ ที่เหมาะสมและถูกต้อง เพื่อเข้ามาสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างราบรื่น

เมื่อลูกค้าเปลี่ยน ก็ต้องปิดการขายแบบ 365 

ขณะที่รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงาน กำลังจะเดินตีคู่กันเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เจ้าของธุรกิจไทยต้องมองหาเครื่องมือและเทคโนโลยีเข้ามาทุ่นเวลาการทำงานด้วยเช่นกัน คุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย Director, One Commercial Partner บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้ ในหัวข้อ ขายอย่างมือโปร จับลูกค้าให้อยู่มือด้วย Office 365 และDynamics 365 ว่าจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนไปย่อมทำให้ลูกค้าแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

ขณะที่ คนเหล่านี้สามารถหาแรงบันดาลใจสร้างสรรค์การทำงานได้ในทุกที่ที่ต้องการ ตั้งแต่ร้านกาแฟ ไปจนถึงสนามกีฬา ซึ่งเป็น เทรนด์ใหม่ ของการทำงานในปัจจุบัน ด้วยเงื่อนไขการใช้ชีวิตไม่ได้มีแค่เฉพาะภาระกิจเดียวเท่านั้น อีกต่อไป  แต่จะต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และมีการทรานสฟอร์เมชัน

พร้อมยกตัวอย่างในอดีต หัวใจสำคัญ คือ ยอดขายดี (Top Line) และ การมีผลกำไรดี(Bottom Line) แต่ในปัจจุบันสิ่งที่องค์กรต้องการมากที่สุดมีเรื่องของ ความพึงพอใจของลูกค้าจากการบอกปากต่อปาก ด้วย เพราะสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนไป ทำให้เทคโนโลยี จะเข้ามามีบทบาทต่อการทำงานมากขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือการอ่านรีวิวจากแหล่งต่างๆ

นั่นทำให้ผู้ใช้งาน(Users) นักกการตลาด(Marketers) ยิ่งต้องเห็นความสำคัญของไอทีเพื่อรองรับการทำงานของโลกใหม่ ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และยังต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราและลูกค้าให้ได้มากที่สุดด้วย เพื่อรองรับเทรนด์การขายที่มาจาก โซเชียล คอมเมิร์ซ ที่การขายปรับไปสู่ Mass Customization จากเดิมที่เป็น Segmentation

และเพื่อไม่ให้พลาดทุกการเชื่อมต่อการทำงาน และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่องค์กร ธุรกิจต่างๆสามารถต่อถึงได้กับผลิตภัณฑ์ เครื่องมือต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวโดยเฉพาะในทีมขาย ได้ทั้งโปรแกรมการบริหารลูกค้าสัมพันธ์(CRM) Dynamics 365  ฝ่ายผลิต(Productivity) ด้วย Office 365 ไปจนถึงการเชื่อมเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบธุรกิจระดับมืออาชีพด้วยบริการ Linkin Sales Navigator

ปัจจุบันไมโครซอฟท์ ได้ผนวกทั้ง 3 ส่วนไว้ด้วยกัน ที่สามารถเริ่มต้นการทำงานแบบนอกสถานที่ได้ตั้งแต่แต่ Skype for Business ในการประชุมระหว่างทีม Power BI การตรวจสอบยอดจากทีมขาย Dynamics 365, Skype Location เป็นต้น

ด้วยเชื่อว่าในอนาคตการทำงานนั้น แต่ละคนไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน แต่สามารถสร้างการทำงานให้เกิดความลื่นไหลระหว่างกันได้ ไม่ว่าจะทำงานที่ใดก็ตาม จากการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อการทำงาน

Chat Bot เด็กใหม่ในโลกการทำงานยุคหน้า

เมื่อโลกการทำงานในอนาคตกำลังขับถูกขับเคลื่อนด้วยพลังคนดิจิทัลและเทคโนโลยี การมีผู้ช่วยเจ๋งๆ อย่าง AI และ Robot เข้ามาใช้ในการทำงานทั้งในองค์กรและธุรกิจก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ คุณอัจฉริยะ ดาโรจน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มีจีเนียส จำกัด ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ AIYA กล่าวในการเสวนาในหัวข้อ “Bringing Digital Office to Life” ถึงบทบาทของ เอไอ และ แชทบอท(Chat Bot) เป็นเทรนด์ที่จะเข้ามามีบทบาทในโลการทำงานอย่างแน่นอน

โดยเห็นได้ชัดจากอุปกรณ์อย่าง Oculus Go จากภาพยนตร์ไซ-ไฟ แอคชั่น สุดมันส์ Ready Player One  ที่นำเข้าสู่โลกเสมือนจริง และกำลังจะเกิดขึ้นในปี 2019 ซึ่งตอบโจทย์ได้ชัดว่าพฤติกรรมผู้บริโภคใกล้เปลี่ยนไปแล้ว อย่างการนำ AI มาใช้แทนที่การทำงานของคน ช่วยศึกษา วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และเลือกโปรดักท์ต่างๆ อย่างเฉพาะเจาะจง(Personalized) ให้กับผู้บริโภคได้ดีมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการนำแชท บอท มาใช้ในการโต้ตอบ สนทนา ระหว่างการซื้อสินค้าของลูกค้า เช่น การสั่งซื้อกาแฟในร้านสตาร์บัคส์ ผ่านแอปพลิเคชั่น หรือการช้อปปิง ซื้อสินค้าช่องทางออนไลน์ ผ่านพนักงงานขายแชทบอท ที่ออกมาโต้ตอบ แนะนำลูกค้า

จากอินไซต์ของลูกค้าที่กำลังเปลี่ยนไป การสนทนากับร้านค้าออนไลน์ ซึ่งถ้าหากว่าไม่ได้การตอบกลับภายใน 2-3 นาที ลูกค้ารายนั้นก็อาจจะเปลี่ยนใจได้ การใช้แชทบอทเข้ามาช่วย สามารถเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวได้ นอกจากจะช่วยบริหารความพึงพอใจของลูกค้าแล้ว ยัง Tracking ข้อมูล เพื่อสร้าง Lead to sale และ ตอบคำถามต่างๆ ไปจนถึงดูแลบริการด้านการขายและหลังการขายอย่างอัตโนมัติ นั่นทำให้การทำ CRM(Customer Realation Management) เป็นเรื่องง่ายขึ้นเมื่อรวมพลังกับ AI และ Chat Bot

ปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์ หลายแห่งได้นำ AI และ Chat Bot มาใช้ร่วมกันการทำงาน รวมถึงงานทรัพยากรบุคคล(HR) ที่นำ HARI ฮาริ เอไอ แชทบอท เข้ามาเป็นผู้ช่วยงานฝ่ายบุคคล ในฐานะพนักงานใหม่สำหรับการทำงานในโลกอนาคตแล้ว

จะเห็นว่าเทคโนโลยีนั้นจะช่วยให้องค์กรของคุณปรับรูปแบบการทำงานให้เป็น Modern Workplace ได้ ไม่ว่าองค์กรนั้นจะเล็กหรือใหญ่ และตอนนี้เราช่วยให้คุณก้าวสู่ Digital Transformation ได้ง่ายขึ้น ด้วยโปรโมชันพิเศษสุด ลด 50% สำหรับ Office 365 ให้คุณจ่ายเริ่มต้นที่ 2.5$ เท่านั้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับโปรโมชันดังกล่าวคลิกเข้าไปดูที่เว็บไซต์ www.evolutionofwork.net หรือติดต่อ Microsoft Thailand ที่ http://aka.ms/contactmicrosoftTH

#Microsoft #ModernWorkplaceTH #ติดอาวุธธุรกิจไทยก้าวไกลด้วยเทคโนโลยี


แชร์ :

You may also like