HomeDigitalAdobe เปิด 10 เทรนด์อนาคต เมื่อคนรุ่นใหม่สนใจ “Polygamous Careers” คนเดียว แต่หลายความสามารถ

Adobe เปิด 10 เทรนด์อนาคต เมื่อคนรุ่นใหม่สนใจ “Polygamous Careers” คนเดียว แต่หลายความสามารถ

แชร์ :

adobe trend

นอกจากการออกมาเปิดเผยเทรนด์ด้านการทำงานและการใช้ชีวิตที่จะเปลี่ยนไปของบริษัทวิจัยต่าง ๆ ในมุมของครีเอทีฟก็มีเทรนด์ที่น่าสนใจออกมาเช่นกัน ซึ่งผู้ที่ออกมาเปิดเผยก็คือ Scott Belsky รองประธานบริหารอะโดบี​ ครีเอทีฟคลาวด์ โดยมาพร้อมคาดการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะส่งผลอย่างไรบ้างต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนที่แบรนด์ควรจะตระหนักถึงด้วย และ 10 เทรนด์เทคโนโลยีอนาคต​จากมุมของ Adobe มีดังต่อไปนี้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

1. รายการโปรด​ หรือ “Favorites” จะถูกแทนที่ด้วย AI

ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราจะพบว่าการรวบรวมและเรียกใช้ “รายการโปรด” เป็นความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ กล่าวคือ เราพอใจสิ่งต่าง ๆ ที่เราชอบอยู่แล้ว แทนที่จะสำรวจสิ่งใหม่ ๆ เพื่อขยายความชอบของเราให้หลากหลายมากขึ้น แต่ในอนาคต Scott Belsky มองว่ามีความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะไว้ใจ AI ให้เป็นผู้นำเสนอสิ่งต่าง ๆ ให้เรามากขึ้น

“ทุกสิ่งที่คุณชื่นชอบจะกลายเป็นข้อจำกัดหรือการตีกรอบให้กับชีวิตของคุณ​ ​โดยคุณอาจจะสนใจอยู่แต่เรื่องเหล่านี้จนไม่มีโอกาสที่จะสำรวจประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่อาจจะดีกว่า (ตามกฎของความเป็นไปได้)  ยิ่งเราจำกัดตัวเองไว้เฉพาะที่ “รายการโปรด” เราก็ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะค้นพบประสบการณ์ที่ดีกว่า ซึ่งตรงจุดนี้ AI สามารถช่วยคุณได้”

2. คนรุ่นใหม่จะประกอบอาชีพแบบ “Polygamous Careers”

คนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานจะเลือกประกอบอาชีพหลากหลายด้าน หรือที่เรียกว่า “Polygamous Careers”  ความต้องการที่จะสร้างรายได้และเติมเต็มชีวิตผ่านการทำงานในหลาย ๆ ด้าน​จะช่วยดึงดูดพนักงานให้อยู่กับองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในสถานที่ทำงาน  และช่วยให้บริษัทสามารถสรรหาบุคลากรชั้นนำที่ยากจะเข้าถึง อาชีพการงานของแต่ละคนจะมีลักษณะเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ระบุผลงานจากโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นดีไซเนอร์ วิศวกร พนักงานขาย หรือนักลงทุนก็ตาม

Scott ได้ยกตัวอย่าง Polywork ของ LinkedIn ที่มีการรวบรวมข้อมูลโปรไฟล์ของบุคคลอย่างละเอียดในระดับโครงการย่อยและผลงานต่าง ๆ แทนที่จะระบุเฉพาะตำแหน่งงาน ดังนั้นจึงอาจมีการระบุรายละเอียดต่างๆ ของงานอย่างเช่น “เขียนโค้ด” “อัพเดตแอป iOS” หรือ “เป็นวิทยากรในการประชุมสัมมนา”

ในโลกของการทำงานแบบ Polygamous Career รายละเอียดเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่า

อีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจก็คือ Braintrust ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ “บุคลากรเป็นเจ้าของ” โดยบริษัทจะสามารถว่าจ้างกลุ่มฟรีแลนซ์และทำงานร่วมกันได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลางหรือเสียค่าธรรมเนียมในการสรรหาบุคลากร และท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นจากการทำงานที่เราชอบ หรือ “Tune-In Jobs” (รู้สึกเต็มอิ่มและมีส่วนร่วมอย่างมากกับงานที่ทำอยู่) ซึ่งต่างจาก “Tune-Out Jobs” (ซึ่งเราจะสนใจแต่เฉพาะเวลาเข้า-ออกงาน)  และโลกของเราก็จะพัฒนาไปข้างหน้าโดยอาศัยบุคลากรที่มีส่วนร่วมกับงานอย่างจริงจัง

3. การสร้างผลงาน 3 มิติจะกลายเป็นกระแสหลัก

“เมต้าเวิร์ส” (Metaverse) ทำให้การเล่นเกม​ การติดต่อกับเพื่อนๆ และทำงานภายในโลกเสมือนจริงเป็นแบบเรียลไทม์ และทุกคนจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับเทรนด์นี้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโทรศัพท์มือถือ

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์นี้จะน่าเบื่อและไม่ได้รับความนิยม หากไม่มีการใส่คอนเทนต์ Interactive 3D ที่ปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล  รวมไปถึงสื่อประเภท Immersive เข้าไปด้วย ซึ่งปัจจุบัน มีเครื่องมือจำนวนมากที่ช่วยให้เราสร้างคอนเทนต์ 3 มิติได้อย่างรวดเร็ว และนั่นจะทำให้ประสบการณ์แบบ Immersive กลายเป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง

4. “Stakeholder Economy” จะขับเคลื่อนแบรนด์เกิดใหม่และธุรกิจท้องถิ่น

Scott มองว่า แบรนด์ต่าง ๆ จะถูกกำหนดด้วยมีม คอนเทนต์ และการสนทนาในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจและโครงการใหม่ ๆ ที่มุ่งเน้นชุมชนก็จะมีลักษณะกระจายศูนย์มากขึ้นเช่นกัน โดยโครงสร้างองค์กรใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้เจ้าของและลูกค้าเป็น​ stakeholders

5. โฆษณาที่ปรับแต่งมาสำหรับเราจะได้รับความนิยมมากขึ้น

ถ้าแบรนด์หรือบริษัทที่คุณชื่นชอบสามารถให้คุณเป็นเจ้าของได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นเจ้าของร่วมกันในบริษัทขนาดเล็กอาจกลายเป็นภัยต่อบริษัทขนาดใหญ่ ถ้า​ ​stakeholders ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนในธุรกิจดังกล่าวมีแรงจูงใจที่จะช่วยสร้าง ปรับปรุง ทำตลาด และสนับสนุนแบรนด์นั้นๆ ก็ย่อมจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน​ และในท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจที่อาศัยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนแบบ “many-to-many” น่าจะประสบความสำเร็จในการทำตลาดได้ดีกว่าธุรกิจแบบ “one-to-many”

เราทุกคนจะเลือกรับโฆษณามากขึ้นด้วยประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทำการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ได้เป็นอย่างดีจนทำให้การดูโฆษณาเป็นที่นิยมมากขึ้น​ การเจอโฆษณายาสีฟันไวท์เทนนิ่งหรือคอร์สลดน้ำหนักที่น่ารำคาญใจครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมทำให้คนเลือกที่จะไม่ดูโฆษณา อย่างไรก็ดี “ประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล” จะช่วยทำให้เกิด​การโฆษณารูปแบบใหม่ และโดยมากแล้วเราก็ชอบประสบการณ์แบบนี้มากกว่า

6. แอปที่ “เพิ่มอำนาจให้ผู้คน” จะเติบโต

อีกหนึ่งด้านที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือเรื่องของการเติบโตของเครือข่ายที่มุ่งขจัดอุปสรรค หรือโมเดลธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ตัวอย่างเช่น​แอป DoNotPay ซึ่งมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแอปดังกล่าวให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภคในการต่อสู้กับระบบราชการ และหาหนทางขจัดขั้นตอนการทำงานของภาครัฐเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน บริการทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่ประชาชน แทนที่จะต้องรอรับบริการในระบบที่อยู่เกินอำนาจการควบคุมของประชาชน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนอกจากจะช่วยเหลือประชาชนแล้ว ยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและบริษัทขนาดใหญ่เข้ามามีบทบาทและดำเนินการอย่างรับผิดชอบ

7. คนรุ่นใหม่สนใจการทำงานร่วมกันภายใต้​ Immersive Experience

สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันก็คือเรื่องของค่าใช้จ่ายและข้อเสียของระบบผู้เล่นหลายคน (Multi-player) ไม่ว่าจะเป็นแอปที่มีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อรองรับการทำงาน​ร่วมกันมากขึ้น หรือโปรโตคอลที่อาศัยฉันทามติ​ (consensus) ​บนบล็อกเชน อย่างไรก็ดี คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับคุณประโยชน์และข้อเสียที่ตามมา กล่าวคือ คนกลุ่มนี้ต้องการที่จะทำงานร่วมกันมากกว่า แม้ว่าจะมีปัญหาและความล่าช้าเกิดขึ้น เมื่อเทียบกับการทำงานโดยลำพังเพียงคนเดียว แต่ทำได้เร็วกว่า

8. คนรุ่นใหม่จะชื่นชอบไลฟ์สไตล์แบบ Nomad มากขึ้น

คนหนุ่มสาววัยยี่สิบกว่าเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ตามบ้านเช่าหรือเปลี่ยนที่พักไปเรื่อย ๆ ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ทำงานจากระยะไกล และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมในชุมชนที่อาศัยอยู่เพิ่มมากขึ้น  ประสบการณ์ดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การยอมรับความหลากหลายอย่างเปิดกว้าง และการค้นหาตัวเองจะส่งผลดีต่อชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน มีผลิตภัณฑ์ หรือเครือข่ายประเภทใดบ้างที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงประสบการณ์ดังกล่าวได้ง่ายขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง ฯลฯ

9. แนวคิด “Eduployment” จะขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็ก

แนวคิดเรื่อง “Eduployment” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะปลดล็อคอาชีพหลายล้านตำแหน่งในช่วงเวลาหลายปีนับจากนี้  Eduployment เป็นการบูรณาการเชิงลึกของการทำธุรกิจ การศึกษา และการหางานหรือเปิดบริษัทใหม่  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บริษัท Nana ซึ่งฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น เครื่องล้างจาน) และช่วยให้ได้รับงานซ่อมแซมจากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนบริษัท Hoist จะฝึกอบรมให้คุณเป็นช่างทาสี รวมถึงทักษะด้านอื่นๆ พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น และช่วยให้คุณหางานได้ภายในเวลา 30 วัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเปรียบเสมือนการทำธุรกิจแฟรนไชส์

10. ยุคของอัตลักษณ์ที่หลากหลาย (Multiple Identities)

ยุคสมัยล่าสุดของโซเชียลเน็ตเวิร์กยอมรับ หรืออย่างน้อยก็รองรับการใช้นามแฝง แต่ในยุคหน้า โซเชียลเน็ตเวิร์กจะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับความจริงที่ว่าผู้ใช้ทุกคนมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย  แน่นอนว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เราไม่ต้องการที่จะถูกจำกัดหรือจำแนกด้วยอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ถูกกำหนดโดยคนอื่น ๆ รอบตัวเรา  แม้ว่าเรามีจินตนาการและความต้องการที่จะเป็นใครสักคนในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งต่างจากสิ่งที่คนอื่นๆ บอกว่าเราเป็น แต่ก็มีอุปสรรคและแรงเสียดทาน ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และสถานการณ์แวดล้อม (ภูมิลำเนา รูปร่างหน้าตา คนที่คุณพบเจอ) ที่ถูกกำหนดอย่างตายตัวมากเกินไป และจะต้องใช้ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น และความท้าทายอย่างมากเพื่อจะสามารถหลุดจากกรอบที่ว่านี้


แชร์ :

You may also like