HomeBrand Move !!Apple TV+ และ Disney+ แกร่งจริงไหมในศึกสตรีมมิ่ง … Netflix ต้องกลัวไหม

Apple TV+ และ Disney+ แกร่งจริงไหมในศึกสตรีมมิ่ง … Netflix ต้องกลัวไหม

แชร์ :

ต้องบอกว่าเดือนกันยายน – ตุลาคมนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายในสงครามสตรีมมิ่งต้องเข้าสู่โหมดเตรียมพร้อมระดับสูงสุดกันแล้วก็ว่าได้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าในเดือนพฤศจิกายนที่ใกล้จะมาถึงนั้น เป็นช่วงเวลาที่ศึกรอบใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วนั่นเอง

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

โดยปฏิเสธไม่ได้ว่าศูนย์กลางที่หลายฝ่ายจับตามองก็คือ Netflix ว่าจะรับมือการมาถึงของคู่แข่งใหม่ที่มีทรัพยากรล้นเหลือเหล่านั้นอย่างไร เพราะหนึ่งในคู่แข่งที่จะลงมาชิงบัลลังก์ของ Netflix ก็คือ Apple บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ที่ประกาศเปิดตัว Apple TV+ โดยมีกำหนดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายน แถมสนนราคาค่าบริการก็ยังถูกกว่าผู้เล่นรายอื่น ๆ โดยอยู่ที่ 4.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือนเท่านั้น

ตัวเลขของสื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า ถึงวันนี้ Apple TV+ เทเงินในการสร้างออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองไปมากถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่คอนเทนต์ที่โดดเด่นที่สุดของ Apple TV+ ที่จะได้ออกอากาศ ก็คือซีรีย์ The Morning Show นำแสดงโดย Jennifer Anniston, Reese Witherspoon และ Steve Carrell กับการนำเสนอเบื้องหลังของรายการข่าวที่ว่ากันว่าเต็มไปด้วยดราม่าไม่แพ้วงการอื่น ๆ โดยซีรีย์ดังกล่าวมีแผนจะสตรีมมิ่งพร้อมกันมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารูปแบบการสตรีมมิ่งจะเป็นแบบใด ระหว่างปล่อยหมดทั้งซีซั่นให้นั่งดูกันให้หนำใจ หรือค่อย ๆ ทยอยปล่อยเป็นรายสัปดาห์

https://www.youtube.com/watch?v=eA7D4_qU9jo

อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่าโปรเจ็ค The Morning Show เป็นเพียงไม่กี่ชื่อที่เราได้ยินจาก Apple TV+ (จริง ๆ แล้วมีทั้งหมด 9 โปรเจ็ค) แถมยังใช้เงินไปแล้วกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐในการผลิตเพียง 2 ซีซั่น ซึ่งว่ากันว่าแพงพอ ๆ กับการสร้าง Game of Thrones เลยทีเดียว และนั่นทำให้นักวิเคราะห์มองว่า Apple TV+ ยังห่างไกลเกินกว่าจะเป็นคู่แข่งของ Netflix ในเรื่องของคอนเทนต์และ Apple จะต้องเทเงินทิ้งอีกมากหากจะแข่งในสนามนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

หนึ่งในผู้ที่เห็นไปในทิศทางดังกล่าวคือ Logan Purk นักวิเคราะห์จาก Edward Jones ที่มองว่า การตั้งราคาของ Apple TV+ ที่ถูกกว่าใครเขา มาจากการที่ Apple มีคอนเทนต์จำกัดนั่นเอง อีกทั้งคอนเทนต์ของ Apple TV+ ยังสามารถเข้าชมได้ฟรีนานถึงหนึ่งปี หากเป็นการดูผ่านสินค้าของ Apple (iPhone, iPad, Mac และ Apple TV) ซึ่งในมุมของเขามองว่า ในช่วงแรก Apple อาจเพียงต้องการใช้ Apple TV+ เพิ่มยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นพอร์ตใหญ่ของบริษัทเสียมากกว่า

นอกจากนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมา Apple เน้นการทำตลาดด้วยการวางโพสิชันสินค้าไว้ที่ระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นการดูแล Privacy ระดับพรีเมียม รวมถึงราคาระดับพรีเมียมเพื่อสร้างจุดขาย ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นภาระหนักที่ Apple TV+ ต้องแบกรับความคาดหวังเอาไว้พอสมควร ซึ่งถ้าหากไม่สามารถสร้างคอนเทนต์เพื่อตอบโจทย์ “คนรักสินค้าพรีเมียม” ได้ก็น่าจะสร้างความเสียหายให้กับ Apple ในระยะยาวเสียเอง

อีกหนึ่งคู่แข่งของ Netflix ที่หลายคนจับตาก็คือ Disney+ ที่เพิ่งมีข่าวว่าซีอีโออย่าง Bob Iger ประกาศลาออกจากบอร์ดบริหารของ Apple วันเดียวกับที่ Apple มีการประกาศเปิดตัว iPhone 11 เนื่องจากบริการของทั้งสองค่ายจะกลายเป็นคู่แข่งกันในอนาคต แต่คำถามก็คือ Disney+ จะกลายเป็นคู่แข่งของ Netflix ได้ด้วยหรือไม่นั้นยังเป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบ เนื่องจากบริการ Disney+ ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในวันที่ 12 พฤศจิกายน ด้วยสนนราคาค่าบริการที่ 6.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือนนั้น ถูกนักวิเคราะห์มองว่าอาจจับใจผู้ชมได้เพียงไม่กี่กลุ่ม

โดยกลุ่มแรกที่คาดว่าจะควักเงินให้ Disney+ ก็คือแฟนคลับของ Disney เอง ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังให้การสนับสนุนบริษัทในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการไปเที่ยวสวนสนุก Disney ที่มีคาแรคเตอร์ที่พวกเขาชื่นชอบ, เข้าพักในโรงแรมที่มีแบรนด์ Disney ฯลฯ การชมคอนเทนต์ของ Disney จึงอาจถูก Add-on เป็นกิจกรรมของคนเหล่านี้ไปด้วยอย่างง่ายดาย และ Disney ยังเอาใจด้วยการใส่ซีนที่เคยถูกตัดออกไปเพื่อให้แฟนคลับได้ชมกันเต็ม ๆ

ส่วนผู้บริโภคอีกหนึ่งกลุ่มที่คาดว่าจะสนใจคอนเทนต์ของ Disney คือกลุ่มครอบครัว เพราะหนึ่งในจุดขายของ Disney+ ก็คือความปลอดภัย เห็นได้จากการไปเปิดทดสอบสตรีมมิ่งฟรีในเนเธอร์แลนด์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ โดยมีการจำกัดคอนเทนต์ที่ฉายในช่วงทดสอบเอาไว้ระดับหนึ่ง สำหรับคอนเทนต์ที่จะฉายในช่วงทดสอบนี้ก็แน่นอนว่าจะมาจาก 5 แบรนด์ ได้แก่ คอนเทนต์ของ Disney เอง, คอนเทนต์ของ Pixar, Marvel, Star Wars และ National Geographic โดยหนึ่งแอคเคาน์สามารถตั้งค่าได้ถึง 7 โปรไฟล์ ซึ่งมากพอที่พ่อแม่จะสร้างโปรไฟล์ให้ลูก และกำหนดค่าคอนเทนต์ที่ลูก ๆ จะดูได้ว่าต้องปลอดภัย เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี

อย่างไรก็ดี หลังจากเปิดทดสอบไปแล้ว (ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีโฉมหน้าของแอปพลิเคชัน Disney+ ปรากฏออกมาให้เราได้เห็นกัน) ก็มีเสียงจากชาวเน็ตในเนเธอร์แลนด์ดังออกมาพอสมควรในเรื่องเกี่ยวกับคอนเทนต์ว่า Disney+ มีคอนเทนต์เยอะมากเมื่อเทียบกับ Apple TV+ แต่ถือว่าน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับ Netflix โดยข้อดีของ Disney+ ในตอนนี้ก็คือ การค้นหาที่ทำเอาไว้สะดวกพอสมควรเท่านั้น

ขอบคุณภาพจาก The Verge

ทั้งนี้ ข้อมูลจากเพจของ Disney+ ชี้ว่า ภายในปีแรกของการให้บริการ บริษัทจะมีคอนเทนต์ในกลุ่มรายการโทรทัศน์มากกว่า 7,500 ตอน และภาพยนตร์กว่า 500 เรื่องให้เลือกชมกัน แต่หากมองในภาพรวมแล้ว Disney+ อาจไม่ต่างจาก Apple TV+ ที่เปิดให้บริการเพื่อตอบโจทย์สาวกตัวเองเสียมากกว่า ซึ่งสำหรับคนกลุ่มอื่น ๆ แล้ว แค่นี้ยังไม่อาจดึงดูดเพียงพอที่จะทำให้เปลี่ยนใจ และอาจเป็นเหตุผลให้บัลลังก์ของ Netflix ยังคงเข้มแข็งต่อไปอีกนานพอดู

โดยปัจจุบัน ตัวเลขผู้ใช้บริการของ Netflix อยู่ที่ 151.6 ล้านแอคเคาน์ ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา 91.46 ล้านแอคเคาน์ หรือคิดเป็น 58% ของผู้ใช้งานทั้งหมดใน 190 ประเทศทั่วโลก ในส่วนของรายได้นั้นก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2018 บริษัทมีรายได้ 15,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2017 ที่ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

Source

Source

Source

Source

Source


แชร์ :

You may also like