HomeBrand Move !!ตลาดยิ่งเจริญ กับการปรับตัวสู่ตลาดสดออนไลน์ ในยุคที่ Marketplace เบ่งบาน    

ตลาดยิ่งเจริญ กับการปรับตัวสู่ตลาดสดออนไลน์ ในยุคที่ Marketplace เบ่งบาน    

แชร์ :

เติบโตมายาวนานกว่า 6 ทศวรรษ สำหรับตลาดยิ่งเจริญ ตลาดสดขนาดใหญ่อันดับต้นๆ อีกแห่งหนึ่งของประเทศ กับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 62 พร้อมการส่งไม้ต่อให้ผู้บริหารรุ่นที่ 3 เพื่อนำพาตลาดยิ่งเจริญฝ่าฟันคลื่น  Marketplace ที่ผลิบานตามกระแสดิจิตอล  พร้อมทั้งบรรดา Flea Market  ที่ผุดขึ้นทั่วทุกมุมเมือง หวังรักษาให้ตลาดสดยังคงอยู่คู่กับวิถีชีวิตแบบไทยๆ และเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่มีความคลาสสิกแต่ไม่ให้สวนกระแสกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคปัจจุบันมากจนเกินไป

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

คุณนฤมล ธรรมวัฒนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สุวพีร์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารตลาดยิ่งเจริญ  กล่าวว่า ตลาดยิ่งเจริญเติบโตมาตั้งแต่ยุคก่อร่างสร้างตัวในเจนเนอเรชั่นแรกที่คุณแม่สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ เป็นผู้ดูแล จนมาสู่ยุคของการสร้างแบรนด์ในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ภายใต้การดูแลของตัวเอง และกำลังก้าวผ่านไปสู่การพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถแข่งขันได้ในยุคที่มีความท้าทายรอบด้าน  รวมทั้งเปิดกว้างต่อการขยายธุรกิจใหม่ๆ ให้เข้ามาอยู่ภายในตลาดมากขึ้น ภายใต้การนำของ 2 กรรมการบริหารตลาดยิ่งเจริญรุ่นใหม่อย่าง คุณกัญจนิดา ตันติสุนทร ที่จะเข้ามาดูแลในส่วนงานทางด้านมาร์เก็ตติ้งให้แก่ตลาด และ คุณอริยะ ธรรมวัฒนะ ที่จะเข้ามาดูแลด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และนำระบบออนไลน์เข้ามาช่วยพัฒนาและผลักดันการเติบโตของตลาด

กัญจนิดา-นฤมล-อริยะ 3 ผู้บริหาร จาก2 เจนเนอเรชั่น แห่งตลาดยิ่งเจริญ

3 ผู้บริหาร จาก 2 เจนเนอเรชั่น แห่งตลาดยิ่งเจริญ ยอมรับว่า ทุกวันนี้ตลาดสดเริ่มเข้าไม่ถึงผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ๆ  เพราะภาพลักษณ์เดิมๆ ที่เด็กรุ่นใหม่อาจจะยึดติดว่าตลาดสดนั้นไม่สะอาด มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ อากาศก็ร้อน  ทำให้เลือกที่จะไปเดินในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้ามากกว่าที่จะมาเดินตลาดสด  หรือถ้านึกอยากเดินตลาดก็มักจะไปเดินตลาดนัดแบบเปิดท้ายขายของ หรือตลาดนัดที่กลุ่มวัยรุ่นนิยมไปแฮ้งก์เอ้ากันมากกว่า นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งที่เป็นตลาดนัดชุมชน ที่อยู่ใกล้ที่พักอาศัยทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเดินทางไปตลาดสดที่อยู่ไกลออกไป

ส่วนที่ตลาดยิ่งเจริญนั้น  70-80% ของคนที่มาจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจ หรือพ่อค้าแม่ค้าที่มาซื้อของเข้าร้าน ส่วนคนที่มาหาซื้อของเพื่อใช้ส่วนตัว รวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ มีสัดส่วนอยู่ราว 30%  ประกอบกับในช่วงนี้ อยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ทำให้การจราจรบริเวณหน้าตลาดติดขัด เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้คนมาเดินลดลง

“แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ หลังการก่อสร้างรถไฟฟ้าสำเร็จจะเป็นโอกาสที่ดีของตลาด เพราะคนจะเดินทางมาได้ง่ายขึ้น เป็นโอกาสให้มีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เดินทางเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น  ทำให้ตลาดต้องเตรียมพร้อมในการขยายตัวเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยมีแผนลงทุนในช่วง 5 ปีแรกนี้ ภายใต้งบ 1 พันล้านบาท สำหรับการเพิ่มพื้นที่ขายให้มากขึ้น โดยเฉพาะเพิ่มโซนเพื่อรองรับธุรกิจใหม่ๆ อาทิ กลุ่ม QSR  ที่สนใจจะมาขยายสาขาเพิ่มในตลาด หรือการขยายที่จอดรถ เพื่อรองรับปริมาณรถหมุนเวียนได้มากขึ้น”

สำหรับตลาดยิ่งเจริญปัจจุบันมีพื้นที่โดยรอบ 30 ไร่  พื้นที่ส่วนใหญ่จัดสรรเป็นพื้นที่สำหรับขายสินค้ารวมกว่า 12,000 ตารางเมตร โดยมีจำนวนแผงเช่าประจำอยู่กว่า 1,500 แผง และเป็นการเช่าแผงแบบขาจรอีกกว่า 400 แผง  มีจำนวนลูกค้าหมุนเวียนในตลาดไม่ต่ำกว่าวันละ 2 หมื่นคน  สามารถรองรับจำนวนรถยนต์ 6-8 พันคันต่อวัน และจักรยานยนต์อีกกว่า 3-4 พันคัน ซึ่งตามแผนการขยายตลาด จะนำพื้นที่ลานจอดรถที่ 2 พื้นที่ประมาณ 9 ไร่  มาขยายเพิ่มเติม สำหรับพื้นที่เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามา รวมทั้งการขยายพื้นที่ร้านค้าต่างๆ เพิ่มเติม  โดยปัจจุบันสัดส่วนร้านค้าที่อยู่ภายในตลาด แบ่งเป็น  อาหารสด 60%  โซนพลาซ่า ที่เป็นร้านค้าต่างๆ รวมทั้งเสื้อผ้า และสินค้าไอที ประมาณ 30%  และพื้นที่ 10% จะเป็นโซนของร้านอาหารต่างๆ

ขณะที่ในมิติของการปรับตัว ทางตลาดยิ่งเจริญจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ  คือ ทางด้านกายภาพของตลาด ที่นอกเหนือจากการลงทุนเพื่อขยายตลาดเพิ่มเติมแล้ว  ยังเน้นการพัฒนาตลาดให้เป็นระเบียบ สะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น  อากาศถ่ายเท  มีทั้งพื้นที่ติดแอร์และโอเพ่นแอร์  โดยมีแนวทางไปสู่การเป็น Green Market ภายใต้นโยบาย Y Together  เพื่อการเติบโตร่วมกันทั้งตลาด และพ่อค้าแม่ค้าในตลาด บนแนวทาง DEEC  ที่ให้ความสำคัญใน 4 มิติหลัก คือ  Development,  Education, Environment และ Charity เพื่อให้ตลาดสะอาดและมีระเบียบ น่าเข้ามาเดิน มาจับจ่ายซื้อของมากขึ้น

“ภาพการพัฒนาของตลาดยิ่งเจริญ ไม่ได้มองแค่การพัฒนาพื้นที่ของตลาด แต่ต้องการสร้างความเจริญให้กับทั้งทุ่งบางเขน โดยอยู่ระหว่างแผนการพัฒนาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งส่วนของกองทัพอากาศ เพื่อพัฒนาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวริมน้ำแบบ One Day Trip  โดยที่ตลาดยิ่งเจริญจะเป็น Food  Destination ของเส้นทางนี้”

อีกหนึ่งแนวทาง คือ การเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะการปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ที่เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก โดยเฉพาะพฤติกรรมในการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งลดข้อจำกัดของตลาดยิ่งเจริญในการเข้าถึงลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ด้วยการพัฒนาบริการที่ชื่อว่า “ส่งสด”  เพื่อต่อยอดจากการเป็น “ตลาดสด”  ไปสู่  Online Fresh Marketplace ตอกย้ำจุดแข็งในการเป็นแหล่งรวบรวมอาหารสดที่ครบครัน ทั้งเนื้อหมู ไก่ อาหารทะเล ผักผลไม้ เครื่องแกง เครื่องเทศต่างๆ

คุณอริยะ กล่าวว่า การพัฒนาบริการส่งสดขึ้นมาเพื่อต้องการขยายกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงานและแม่บ้าน ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งอาหาร หรือวัตถุดิบที่ สด ครบ และจบได้ที่เดียว  รวมทั้งเป็นการปรับกลยุทธ์มาสู่การพัฒนาเป็นตลาดสดออนไลน์  ที่ถือว่ายังอยู่ในเฟส 0 เป็นช่วงของการทดลองการให้บริการ เพื่อศึกษาพฤติกรรมลูกค้า การตอบรับต่างๆ โดยมีช่องทางให้บริการผ่าน เว็บไซต์ www.songsod.com, Facebook :songsoddelivery และ Line : @songsod ซึ่งยังมีการให้ข้อมูลต่างๆ  ทั้งการเลือกวัตถุดิบในการปรุงอาหาร  รวมทั้งบริการ Personal Shopper  ในการให้บริการเลือกซื้อและจัดส่งสินค้าจากตลาดสดผ่านช่องทางออนไลน์ ก่อนจะพัฒนาการให้บริการเป็นแบบมาตรฐานผ่าน แอพพลิเคชั่น Fresh Mate ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเตรียมเปิดตัวให้บริการตามมาในเร็วๆ นี้

“ลูกค้าทุกคนของ Fresh Mate จะได้รับความสะดวกสบายที่มากขึ้นในการซื้อสินค้ากลุ่มอาหารสด เพื่อการปรุงอาหารให้เกิดอรรถรสตามวิถีของตลาดสด วัตถุดิบทุกชิ้นจะถูกเลือกโดยมืออาชีพที่มีความชำนาญในการคัดเลือกวัตถุดิบ  เพื่อให้ลูกค้าได้ของสดใหม่ มีคุณภาพ และตรงตามความต้องการของผู้ใช้บริการ เหมือนมาเลือกซื้อด้วยตัวเอง  โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการในช่องทางออนไลน์ประมาณ 5-10% ของกลุ่มลูกค้าที่เป็นรายย่อยรวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ และแม่บ้านที่ชื่นชอบการทำอาหาร”

แนวทางการพัฒนาตลาดยิ่งเจริญทั้งทางกายภาพ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพด้วยการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ทำให้ทางผู้บริหารเชื่อว่ารายได้ในอีก 5 ปี ข้างหน้าของตลาดยิ่งเจริญจะสามารถเติบโตได้มากกว่าเท่าตัว จากรายได้เฉลี่ยในปัจจุบันที่ปีละ 400 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยราว 3-5%  รวมทั้งสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ โดยอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ ทั้งความหลากหลายของสินค้าทั้งอาหารสด และสินค้าประเภทอื่นๆ  ที่จำหน่ายในราคาที่ไม่แพง โดยเฉพาะความผูกพันของตลาดที่มีต่อชุมชน และความเกื้อกูลกันของพ่อค้าแม่ค้า ทำให้ยังมองเห็นภาพวิถีชีวิตแบบไทยๆ ที่ยังมีอยู่อย่างได้เด่นชัด เพื่อให้คนรุ่นต่อๆ ไปมีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ได้เช่นกัน


แชร์ :

You may also like