“ซิกเว่ เบรกเก้” เปิดเส้นทางการก้าวสู่ Tech Company ของทรู คอร์ปเปอเรชัน ชี้ไม่ใช่เรื่องง่ายในการทรานสฟอร์มจาก Telecom Company แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เล็งเพิ่มความสามารถใน 3 ด้าน ได้แก่ “AI – Personalized Service – Smart City”
ถือเป็นการกลับสู่วงการโทรคมนาคมไทยที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย ของคุณซิกเว่ เบรกเก้ ที่กลับมารับตำแหน่งประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยในการกลับมาครั้งนี้ คุณซิกเว่ได้เผยวิสัยทัศน์ของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขับเคลื่อนองค์กรปี 2025 ด้วย 3 ภารกิจหลัก นั่นคือ
- การให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยมุ่งสร้างแบรนด์ที่ลูกค้าเชื่อใจได้ พร้อมประสบการณ์ใช้งานเครือข่ายที่ต้องดีที่สุด
- พัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อคนไทย เน้นสร้างประสบการณ์ดิจิทัลแบบ Personalized และยกระดับการเชื่อมต่อสู่เมืองอัจฉริยะ โดยยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในจีนแผ่นดินใหญ่
- ข้อสุดท้ายคือการสร้างทีมที่เน้นการขับเคลื่อน – การสร้างความสำเร็จร่วมกัน โดยคุณซิกเว่บอกว่า การควบรวมครั้งนี้ไม่ใช่ทรูควบรวมดีแทค หรือดีแทคควบรวมทรู แต่เป็นการ Synergy ร่วมกันของสององค์กรจนเป็นหนึ่งเดียว พร้อมบอกว่าต้องยกเครดิตให้กับทีมบริหารที่สามารถทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ใน 2 ปี โดยตอนนี้ ทรู คอร์ปเปอเรชั่นคือบริษัทใหม่ที่พร้อมจะทรานสฟอร์มตัวเองแล้ว
การแข่งขันเปลี่ยน คู่แข่งเปลี่ยน
สำหรับสิ่งที่คุณซิกเว่มองเห็นจากการกลับมาครั้งนี้ก็คือ ภาพของการแข่งขันที่กำลังเปลี่ยนไป คู่แข่งในอุตสาหกรรมตอนนี้อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทโทรคมนาคม หากแต่เป็น Platform Company เช่น Google, Microsoft, AWS ฯลฯ ซึ่งในมุมของคุณซิกเว่ มองว่า ประเทศไทยและทรู คอร์ปเปอเรชั่นก็มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เช่นกัน หากบริษัทมีความแข็งแกร่งมากพอ พร้อมบอกด้วยว่า นั่นคือภารกิจที่คุณซิกเว่ และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ กำลังทำร่วมกันอยู่
ควบรวม 2 ปี “ทรู-ดีแทค” เกิดอะไรขึ้นบ้าง
คุณซิกเว่ยังได้กล่าวถึงความสามารถของเครือข่ายภายหลังการควบรวม “ทรู-ดีแทค” ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ว่ามีการให้บริการ 5G ครอบคลุมมากขึ้นจาก 82.69% เป็น 93% ส่วนความครอบคลุมของ 4G ก็เพิ่มขึ้นเป็น 99% และทำให้ความเร็วในการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 300% (5G) และ 15% (4G) ตามลำดับ โดยคุณซิกเว่เรียกสิ่งนี้ว่า Network Modernization หรือการพัฒนาเครือข่ายให้มีความทันสมัย พร้อมยก “ภูเก็ตโมเดล” เป็นจังหวัดแรกที่พัฒนาแล้วเสร็จ 100% ก่อนจะดำเนินการต่อไปในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ผู้บริหารคนดังยังระบุว่า การทำ Network Modernization ปัจจุบันเสร็จเรียบร้อยแล้ว 87% และคาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นทั่วประเทศในไตรมาส 3 ของปีนี้ (เดือนกันยายน)
ทำไมต้องเป็น Tech Company
แม้ว่าสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นจะดูไม่น่ากังวลใจ อีกทั้งผลประกอบการไตรมาสแรกของทรู คอร์ปเปอเรชั่นก็มีกำไร แต่หากย้อนใปในช่วงเวลาของการควบรวม ทรู-ดีแทค สิ่งที่คุณซิกเว่ และคุณศุภชัยกล่าวตรงกันก็คือการนำพาทรู คอร์ปเปอเรชั่นไปสู่การเป็น Tech Company และในการพบปะสื่อมวลชนครั้งนี้ คุณซิกเว่ได้อธิบายถึงเหตุผลดังกล่าวว่า บริษัทสามารถเป็น Telecom Company ที่ดีต่อไปก็ได้ แต่รูปแบบของรายได้ก็จะเป็นแบบเดิม นั่นคือ รายได้จากการให้บริการเครือข่ายเป็นหลัก หรือที่คุณซิกเว่เรียกว่ารายได้แบบ Old Fashion
แต่สิ่งที่คุณซิกเว่ และคุณศุภชัยเห็นตรงกันก็คือ โลกการแข่งขันในอนาคตได้เปลี่ยนไปแล้ว คู่แข่งของบริษัทโทรคมนาคม ไม่ใช่บริษัทโทรคมนาคมด้วยกันเอง หากแต่เป็นบริษัทเทคโนโลยี หรือบริษัทที่ให้บริการในลักษณะแพลตฟอร์ม (Platform Company)
ดังนั้น คู่แข่งของทรู คอร์ปเปอเรชั่นจึงมีมากขึ้น ไม่ใช่เหลือแค่เอไอเอสอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ และการจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อไปแข่งกับบริษัทเหล่านั้น เป็นเรื่องยาก โดยต้องเปลี่ยนทั้งวิธีคิด วัฒนธรรมองค์กร และการทำงาน ซึ่งคุณซิกเว่ได้ยกตัวอย่างบริษัทที่พยายามทรานสฟอร์มตัวเองจาก Telecom Company ไปสู่ Tech Company เช่น T-Mobile (ผู้ให้บริการในสหรัฐอเมริกา) หรือแม้แต่กลุ่มเทเลนอร์เอง พร้อมบอกว่า ทรู คอร์ปเปอเรชั่นก็กำลังพยายามทำสิ่งเหล่านั้นอยู่เช่นกัน แต่ถือว่าหนทางยังอีกยาวไกล และต้องใช้เวลา รวมถึงความพยายามอีกมาก
“ภารกิจสำคัญทั้ง 3 ด้านนี้จะเป็นรากฐานในการเติบโตอย่างยั่งยืนของ ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาทั้งสินค้า บริการ วิธีการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กร เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง” คุณซิกเว่ กล่าวปิดท้าย