ในยุคที่เอเยนซี่เกิดใหม่แทบรายวัน และความสนใจของผู้บริโภคเปลี่ยนไวกว่าอัลกอริทึม “บริษัท เอเบิล แบงค็อก จำกัด” หรือ “ABLE Bangkok” กลับนำ ‘Design’ มาเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่องและสร้างสรรค์งานโฆษณาได้แปลกใหม่ ทำให้เพียง 4 ปี จากเอเยนซี่เล็กๆ สู่วันที่ ABLE Bangkok เติบโต จนกลายเป็นทีมที่แบรนด์ชั้นนำไว้วางใจ
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยบทเรียนและเรื่องราว ที่ ABLE Bangkok พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความสำเร็จในวงการนี้ไม่ได้อยู่ที่ “ขนาด” ของเอเยนซี่เท่านั้น แต่อยู่ที่วิธีการสร้างสรรค์งานโฆษณาให้แตกต่างและสามารถช่วยแบรนด์แก้ปัญหาได้จริง Brand Buffet จึงอยากชวนมาฟังบทเรียนจากการทำธุรกิจ และกลยุทธ์การปรับตัว ของ ABLE Bangkok จาก คุณมาร์ช-จิวายุทธ จิวาลักษณางกูร Group Creative Director & Co-Founder และ คุณเบียร์-นิชคุณ ตุวพลางกูร Business Director พร้อมการเติบโตต่อจากนี้
คุณเบียร์-นิชคุณ ตุวพลางกูร Business Director และคุณมาร์ช-จิวายุทธ จิวาลักษณางกูร Group Creative Director & Co-Founder
4 ปีบนเส้นทางเอเยนซี่ที่ค่อยๆ เติบโต
จุดเริ่มต้นของ ABLE Bangkok ไม่ต่างจากเอเยนซี่ทั่วไป ที่อยากนำความถนัดมาสร้างวิธีการสื่อสารในรูปแบบใหม่ ทำให้ 4 ปีที่แล้ว คุณจิวายุทธ จึงฟอร์มทีมและนำไอเดียมาคุยกับ “คุณเก้ง-ศราวุฒ ธูปะวิโรจน์” ผู้ก่อตั้ง KAN Bangkok กระทั่งในปี 2564 จึงก่อตั้ง ABLE Bangkok ขึ้น ด้วยความชอบในงานดีไซน์ เพราะเคยเป็นนักวาดภาพประกอบ ก่อนจะเข้ามาทำงานในแวดวงโฆษณา จากประสบการณ์และความถนัดที่โดดเด่นนี้ จึงวางจุดยืนชัดเจนว่าเป็นเอเยนซี่ที่มีวิธีคิดงานแบบ Design Impact เพื่อที่จะเชื่อมแบรนด์และผู้บริโภคผ่านการสร้างประสบการณ์สนุกๆ ใหม่ๆ ด้วยงานดีไซน์
ช่วงแรกที่เปิดบริษัท ในเวลานั้นอุตสาหกรรมโฆษณาก็ได้รับผลกระทบจากโควิดแบบเต็มๆ ทำให้เจอความท้าทายหลายอย่าง จึงต้อง “ต่อสู้” อย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
โดยเริ่มจากการสร้างผลงานมากมายที่นำดีไซน์มาช่วยแบรนด์แก้ปัญหา ที่ไม่ใช่แค่กราฟิกดีไซน์ แต่เป็นการนำศาสตร์ของการดีไซน์มาเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อเชื่อมโยงผู้บริโภคและแบรนด์เข้าด้วยกันในทุกรูปแบบของการโฆษณา เช่นตัวอย่างงาน LOST+FOUND : ART EXHIBITION นิทรรศการศิลปะที่เชื่อมโยงประสบการณ์ของผู้คนผ่านงานศิลปะจากฝีมือศิลปินมากมายในวงการ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าได้เห็นวิธีคิดและผลงานชัดขึ้น
หลังจากนั้น ABLE Bangkok กลายเป็นชื่อที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ เริ่มสนใจและอยากร่วมงานด้วยกัน จนค่อยๆ เติบโต สู่ปัจจุบันมีฐานลูกค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Automobile, Real Estate, Financial & Insurance, FMCG, Retails, Aesthetics, และ Entertainment จากจุดเริ่มต้นของทีม 5 คนที่เชื่อในแนวทางเดียวกัน ค่อยๆ เดินทางและเติบโตขึ้นไปพร้อมกับทุกก้าวของการเปลี่ยนแปลง
“เราเป็น Local Agency แต่มี Standard ในการทำงานแบบ Global Agency ทำให้เราค่อยๆ เติบโตขึ้น และได้ร่วมงานกับลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งสามารถก้าวข้าม Barrier ที่เคยเจอในช่วงแรกๆ ได้” คุณจิวายุทธ บอกถึงการก้าวเดินตลอดระยะทาง 4 ปี ซึ่งแม้จะไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด ตลอดเส้นทางมีบทเรียนให้เรียนรู้มากมาย แต่มี 4 บทเรียนสำคัญที่คุณจิวายุทธและคุณนิชคุณอยากแชร์ให้ฟัง เพราะเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจเอเยนซี่ยุคนี้ และเป็น 4 บทเรียนที่ทำให้เอเยนซี่เล็กๆ แห่งนี้เติบโตมาถึงทุกวันนี้ นั่นคือ
1. การทำธุรกิจเอเยนซี่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้แข่งขันกันแค่ “ขนาด” แต่ “Creative” ต้องแตกต่าง และสามารถเข้าไปช่วยแบรนด์แก้ปัญหาได้
คุณนิชคุณ บอกว่า แม้ ABLE Bangkok จะเป็นเอเยนซี่ขนาดเล็ก แต่วิธีคิดงานไม่ได้เล็กตามตัว และไม่ได้จำกัดแค่งานสื่อสารแบรนด์ แต่นำดีไซน์ไป Apply ในการเล่าเรื่องและสร้างสรรค์งานโฆษณาในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหนังโฆษณา Print Ads สื่อนอกบ้าน ไปจนถึงสื่อออนไลน์ และอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งไม่เพียงจะทำให้ชิ้นงานแปลกใหม่ แต่ยังช่วยแบรนด์แก้ Challenge ทางธุรกิจได้แบบ Tailor Made จริงๆ เช่น บางแบรนด์มีแค่ Product มาให้ ทีมก็พัฒนาตั้งแต่คอนเซ็ปท์ ชื่อแบรนด์ ทำ Brand Identity ไปจนถึง Communication เพื่อสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักและเกิดภาพจำ หรือบางรายมีแบรนด์อยู่แล้วแต่งบจำกัด ก็ทำเป็นแคมเปญเพื่อ Drive ให้เกิดผลลัพธ์ด้านยอดขายในแต่ละช่วงเวลา
“เราเชื่อว่าทุกๆ งานที่เข้ามา อาจจะมีโจทย์ที่คล้ายกันบ้าง แต่อุตสาหกรรมที่ต่างกัน และความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน ก็ทำให้วิธีคิด วิธีการเข้าใจคนต่างกัน เราจึงไม่มี Pattern ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่จะมองโจทย์ และเป้าหมายของลูกค้าเป็นตัวตั้ง แล้วระดมไอเดียหา Solution ที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดให้กับลูกค้า”
ยกตัวอย่าง “Universal Pictures” ที่ต้องการโปรโมทภาพยนตร์ WICKED เราอยากทำให้แฟนๆ ทั่วโลก ได้สัมผัสโลกแฟนตาซีแบบใกล้ชิดยิ่งกว่าที่เคย ซึ่งในช่วงที่หนังเข้าฉาย เป็นช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาส เราเลยใช้องค์ประกอบของภาพยนตร์ที่เป็นหนึ่งในจุดเด่น อย่างฟองสบู่ของแม่มดกลินดามาดีไซน์เป็นต้นคริสต์มาสยักษ์โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายของธีมภาพยนตร์ WICKED จนทำให้เกิด Magical Moment ในชีวิตจริงของผู้คน ซึ่งผลงานนี้นอกจากใช้โปรโมทภาพยนตร์ในหลายประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และอีกในหลายๆ ประเทศ
2. “ทีม” ที่ดี ทำให้เกิดไอเดียที่น่าสนใจ และสร้างอิมแพคได้
การทำงานของ ABLE Bangkok ไม่ได้สวมหมวกว่าคนนี้เป็น Creative คนนี้เป็น AE หรือเป็น Producer จะต้องทำงานบทบาทนี้เท่านั้น แต่มองทุกคนเป็นทีมเดียวกัน โดยทุกคนสามารถโยน Idea และถกประเด็นต่างๆ ออกมาได้หมด อีกทั้งคนในทีมก็มีความสนใจหลากหลาย บางคนชอบต่อกันดั้ม บางคนชอบบิวตี้ บ้างก็ชอบงานอาร์ต ทำให้เวลาคุยงานเกิดมุมมองหลากหลาย ซึ่งช่วยให้การสร้างสรรค์งานมีความแปลกใหม่และเกิดอิมแพคได้
โดยหยิบตัวอย่างแบรนด์ “กรุงศรี” กับที่โจทย์ที่ ต้องการสื่อสารแนวคิด “ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน” ผ่านโซลูชันและบริการทางการเงินของกรุงศรีที่มีแอปพลิเคชันหลากหลาย เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนปัจจุบัน เพื่อให้คนจดจำและรักแบรนด์มากขึ้น ทีมจึงระดมไอเดีย กระทั่งน้อง Copywriter พูดเล่นๆ ขึ้นมาว่า คนไทยชอบคิดว่าตัวเองเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ แต่ความจริงแล้ว ง่ายไม่จริง อย่างถามว่าวันนี้จะกินอะไร ส่วนใหญ่มักตอบว่าอะไรก็ได้ แต่พอถามว่ากินชาบูไหม กลับบอกไม่เอา
จากคำพูดเล่นๆ ประโยคเดียว ทีมรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงนำมาต่อยอดไอเดียเพิ่ม สุดท้ายเลยกลายเป็น Visual Design Impact ในแคมเปญ “ชีวิตที่อยากได้ ไม่เหมือนกัน” โดยใช้ไข่ดาว ซึ่งเป็นเมนูที่ง่ายๆ แต่ในความง่ายกลับมีความแตกต่างกัน บางคนชอบไข่ดาวสุก บางคนชอบไข่ดาวไม่สุก บางคนชอบกรอบๆ เป็น Symbolic ในการเล่าเรื่องผ่านการเปรียบเทียบให้เห็นความชอบของคนที่ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะชอบแบบไหน กรุงศรีก็มีโซลูชั่นทางการเงินผ่านแอปที่ตอบทุกความต้องการ
3. ปรับตัวไปตามยุคสมัย ไม่ยึดติดวิธีการเดิมๆ
4 ปีที่ผ่านมา แม้ ABLE Bangkok จะค่อยๆ เติบโต แต่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะ “ปรับตัว” อยู่ตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา คุณจิวายุทธ บอกว่า รูปแบบความสนใจหรือการเสพคอนเทนต์ก็เปลี่ยนไป รวมถึงแบรนด์เองก็มีความท้าทายใหม่ๆ มากขึ้น คนทำงานต้องไม่ยึดติดกับวิธีการเดิมๆ ต้อง Adapt ตัวเองไปตามยุคสมัย เพื่อให้เข้าใจคน เข้าใจแบรนด์ และเห็น Context Culture เพื่อหาวิธีการเชื่อมโยงแบรนด์ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด
“วิธีคิดงานแบบ Design Impact ยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เราต้องการคือ วิธีในการส่งต่อประสบการณ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคตามพฤติกรรมคอนซูมเมอร์ที่สนใจในช่วงเวลานั้นๆ”
4. ไม่ได้มอง “ลูกค้า” เป็นแค่ลูกค้า
คุณนิชคุณ บอกว่า การ Build Relationship มีความสำคัญมาก เพราะสิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า และมีการพูดคุยกันมากขึ้น จนเข้าใจความต้องการจริงๆ ของลูกค้า ทำให้การทำงานของ ABLE Bangkok จึงมองลูกค้าเป็นเหมือนทั้งเพื่อนและพาร์ทเนอร์ ที่มองเป้าหมายเดียวกัน ใช้ทั้งสมองและหัวใจที่จะช่วยแก้ปัญหาไปด้วยกัน เพื่อหา Creative solutions ที่แก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้จริง
พร้อมลุยสู่อุตสาหกรรมใหม่
แม้ตลอดระยะทางจะเจอกับความท้าทายมากมาย แต่เส้นทางต่อจากนี้ คุณจิวายุทธ มองว่าจะ “ท้าทาย” มากขึ้นอีก เพราะปัจจุบัน Landscape ของอุตสาหกรรมโฆษณาเปลี่ยนไป ขณะที่แบรนด์ก็คาดหวังผลลัพธ์ในการทำแคมเปญมากขึ้น นั่นเลยทำให้การทำงานของ ABLE Bangkok นับจากนี้ไปยังต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองตลอดเวลา ควบคู่กับการนำเครื่องมือใหม่ๆ อย่าง AI มาช่วยให้การทำงานสะดวกรวดเร็วขึ้น เพื่อขยายการทำงานไปในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำมากขึ้น เช่น แฟชั่น เทคโนโลยี หรือ Commerce
ขณะเดียวกัน คุณนิชคุณยังเชื่อว่า วิธีคิดงานแบบ Design Impact ยังสามารถตอบความต้องการของแบรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้ เพราะองค์ประกอบของ Design ใหญ่มาก ไม่ได้เป็นแค่การทำงานให้ออกมาสวยเท่านั้น แต่เป็นการนำดีไซน์เข้าไปแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับคอนซูเมอร์และแบรนด์ หัวใจสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่วิธีคิดงาน แต่อยู่ที่การนำดีไซน์ไปใช้อย่างไรให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและสร้างอิมแพคกับคนและแบรนด์ได้จริง
สำหรับอนาคตของ ABLE Bangkok คุณจิวายุทธ บอกว่า อยากให้ ABLE Bangkok ค่อยๆ เติบโตแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะอยาก Balance ความสนุกในการทำงาน กับสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเปิดบริษัทในวันแรก และเชื่อว่าถ้าคนทำงานสนุก ก็จะมีความสุข และทำให้ผลงานออกมาดี ประกอบกับตลาดตอนนี้แข่งขันดุเดือด เศรษฐกิจก็ซบเซา หากขยายการเติบโตเร็วเกินไป แต่สุดท้ายคุณภาพงานไม่ได้ ก็จะส่งผลกับคนทำงานตามมา จึงอยาก Ambitious กับงานมากกว่า และให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์
แต่สิ่งที่จะอยากจะทำเพิ่มขึ้นคือ การนำดีไซน์เข้าไปสร้าง Impact กับชีวิตของผู้คนมากขึ้น เพื่อพาแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้ลึกกว่าเดิม ยกตัวอย่าง “เนสท์เล่” ที่เชื่อว่าการกระทำเล็กๆ เหล่านี้สามารถจะเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ขึ้นได้ จึงต้องการอินสไปร์ให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันว่าสามารถช่วยโลกได้ พอทีมได้รับโจทย์มา จึงลงไปศึกษาข้อมูล ทำให้ได้เห็นความคิดของคนหลากหลาย บางคนรู้สึกว่าทำได้ยาก บางคนก็คิดว่าการทำสิ่งเล็กๆ แค่นี้จะเปลี่ยนโลกได้จริงหรือ จึงนำความคิดเหล่านี้มาดีไซน์ จนกลายเป็นแคมเปญ Every Little Act Matters เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้ เพื่อให้คนเชื่อมั่นว่าพลังเล็กๆ ของพวกเขาสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ แล้วไม่ยากอย่างที่คิด
จากบทเรียนและเรื่องราวตลอด 4 ปี อาจจะไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับเอเยนซี่ แต่เป็น 4 ปีที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่เข้มข้น ทำให้ ABLE Bangkok ได้พัฒนาตัวเองเสมอ พร้อมก้าวต่อไปในปีที่ 5 กับความท้าทายใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่