HomeBrand Move !!CRG กางแผนโต 13% ปี 2568 ทุ่ม 1.2 พันล้าน ลุยขยาย 100-120 สาขา เดินหน้าปั้นแบรนด์ใหม่ รุกตลาดชาบู-ปิ้งย่าง

CRG กางแผนโต 13% ปี 2568 ทุ่ม 1.2 พันล้าน ลุยขยาย 100-120 สาขา เดินหน้าปั้นแบรนด์ใหม่ รุกตลาดชาบู-ปิ้งย่าง

แชร์ :

“ร้านอาหาร” หนึ่งในธุรกิจที่มีการแข่งขันร้อนแรงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา  หลายผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและใหญ่ต่างเร่งปรับตัว จัดทัพใหม่รองรับเทรนด์ใหม่ๆที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลามากขึ้น 

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) หนึ่งในเชนร้านอาหารยักษ์ใหญ่ในเครือเซ็นทรัลฯ ได้ปรับแผนงานและกลยุทธ์รูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรวมถึง Landscape ของการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้ง จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ออกเมนูใหม่ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

คุณณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เปิดเผยในงานแถลงข่าว “Celebrating Success, Challenging Excellence” ถึงภาพรวมธุรกิจร้านอาหารใน  ปี 2567 ที่ผ่านมา มีความท้าทายจากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น การเปิดตัวแบรนด์ร้านอาหารใหม่ ๆ  ที่เพิ่มการแข่งขันในตลาด ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ซีอาร์จีเติบโต 9% ปิดรายได้ทะลุ 15,800 ล้านบาท มีจำนวนสาขามากกว่า 1,300 สาขา กับ 21 แบรนด์ในเครือ  ทั่วประเทศ และเปิดแบรนด์น้องใหม่ 2 แบรนด์ ได้แก่ NAMA Japanese and Seafood Buffet และ Katsu Midori Sushi พร้อมทั้งปรับโฉม Katsuya Flagship @ Central World เป็นต้น

 

 

โดยปีที่ผ่านมาถือเป็นอีกปีที่ CRG (Central Restaurants Group) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดขายรวม 15,800 ล้านบาท เติบโตขึ้น 9% จากปีก่อน ปัจจุบัน CRG มี 21 แบรนด์ และกว่า 1,300 สาขา โดยในปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่าง NAMA Japanese และ Katsu Midori พร้อมขยายสาขาใหม่ถึง 90 แห่ง

สำหรับ Hi-Light 2567: เสริมทัพแบรนด์-รีโนเวท-สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า ด้วยการเดินหน้าพัฒนาแบรนด์เดิม และเสริมแบรนด์ใหม่ โดยมีไฮไลต์สำคัญ อาทิ

  •  Mister Donut Turnaround จากการเปิดตัว “Mister Donut White” ที่พิสูจน์ว่าโปรดักต์ที่ใช่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ
  • KFC แห่งแรกในไทนที่เซ็นทรัลลาดพร้าว รีโนเวทใหม่เป็นสาขาต้นแบบ
  • เปิด Katsuya Flagship Store ที่ CentralWorld
  • Auntie Anne’s Digital Store ที่ Siam Scape
  • Pepper Lunch ปรับกลยุทธ์สร้างการรับรู้เรื่องกระทะร้อน และกระแสไวรัลกับวิดีโอคลิป How To Cook จากแบรนด์ PEPPER LUNCH เผยขั้นตอนวิธีปรุงความอร่อยจนเกิดเป็นกระแสลองทำตาม
  • Auntie Anne’s ปรับโลโก้ใหม่ พร้อมดึง “กลัฟ – คณาวุฒิ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ สื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Gen Z อย่างได้ผล
  • เปิดตัว2 แบรนด์ใหม่ NAMA Japanese and Seafood Buffet และ Katsu Midori Sushi

 

เปิด 8 เทรนด์ร้านอาหาร ปี 2568  มูลค่า 5.7 แสนล้านบาท คาดเติบโต  5-7% สู่ความท้าทายแบรนด์ไทย-จีนบุกหนัก

แผนงานทั้งหมดเพื่อรองรับแนวโน้มอุตสาหกรรมร้านอาหารในปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 5-7% คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 570,000 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มสำคัญที่ต้องจับตามอง ได้แก่

  1. New Brand ยังสำคัญ มีแบรนด์ใหม่เปิดตัวแทบทุกสัปดาห์
  2. แบรนด์จีนบุกหนัก ได้เปรียบด้านต้นทุนและ Economy of Scale
  3. อาหารพรีเมียมมาแรง ผู้บริโภคมองหาของคุณภาพสูงและยอมจ่ายแพงขึ้น
  4. Life Cycle ของแบรนด์สั้นลง ต้องปรับตัวเร็วขึ้น
  5. แบรนด์เก่าต้องปรับตัว หลายแบรนด์ที่มีอายุยาวนานต้องเริ่มเปลี่ยนแปลง และปรับกลยุทธ์
  6.  New Brand New Format ต้องพัฒนารูปแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า การพัฒนาแบบไม่หยุดนิ่ง
  7. ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ เป็นความท้าทายใหญ่ของธุรกิจ
  8. สตรีทฟู้ดเติบโตดี แต่ต้องเลือกเซ็กเมนต์ที่เฉพาะเจาะจง

 

 

กางแผนปี 2568 ทุ่ม 1,200 ล้าน เปิดเพิ่ม 100-120 สาขา พร้อม“ชาบู-ปิ้งย่าง-สตรีทฟู้ด” เสริ่มแกร่งพอร์ตฯ

สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้าเติบโต 13% หรือแตะยอดขาย 17,900 ล้านบาท โดยวางแผนทุ่มงบลงทุนทั้งสิ้นราว 1,200 ล้านบาท ทั้งการขยายสาขา และเพิ่มยอดขายในสาขาปัจจุบัน พร้อมมองหา New Product  และ New Promotiom เพื่อเพิ่มยอดขายในร้านเดิม พร้อมกันนี้ CRG ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการต้นทุน เช่น Smart Restaurant และ Digital Transformation รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของ Cash Flow โดยแบ่งการลงทุนออกเป็นเป็น  

  • 800 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขา ขยายสาขาเพิ่มอีก 100-120 แห่ง โดยโฟกัสไปที่ KFC, Auntie Anne’s, Ootoya, Salad Factory และ Shinkanzen
  • 200 ล้านบาท สำหรับการรีโนเวทแบรนด์ชั้นนำ ในกลุ่ม Top Brands  อาทิ KFC, Auntie Anne’s, Ootoya, Salad Factory
  • 200 ล้านบาท สำหรับการลงทุนอื่น ๆ

 

 

อีกหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ CRG คือการบุกตลาด “ชาบูและปิ้งย่าง” ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่มีแบรนด์ในเซ็กเมนต์นี้ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาทั้งการพัฒนาแบรนด์เองและการทำ Joint Venture (JV) กับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ Ootoya ที่มีแผนเปิดตัวชาบูแบรนด์ของตัวเอง

“ตอนนี้แบรนด์ที่เรายังไม่มีคือ “ชาบู” ทำให้เรามองหาแบรนด์ร้านอาหารกลุ่มนี้มาเติมพอร์ต ทั้งมองหาทั้งการ JV และ พัฒนาเอง นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ “ปิ้งย่าง” ที่ยังไม่มีอย่างจริงจัง จึงอยากขยายเข้าไป ส่วนเกณฑ์ชาบู ต้องมองเรื่องสเกลที่จะขยายออกไปได้ เชื่อว่าแม้จะมีเจ้าตลาด แต่ก็มีแบรนด์ใหม่ๆ เบียดออกมาได้ เชื่อว่าเราสามารถทำอะไรแตกต่างได้ในตลาด  ส่วนแบรนด์ที่จะเข้าไปร่วมลงทุน อยากให้มี Ebida 14-15% ที่อยากได้ก่อนไปลงทุน” คุณณัฐกล่าว

นอกจากนี้ยังสนใจเข้าไปลงทุนในกลุ่ม “สตรีทฟู้ด”  เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์ที่เติบโตได้ดี บวกกับเทรนด์อาหารที่เป็นแบบเฉพาะมื้อกำลังมาแรง ทำให้บริษัทมีความสนใจการเข้ารุกในร้านอาหารประเภทสตรีทฟู้ดอีกครั้ง แม้ที่ผ่านมาจะมีแบรนด์ “อร่อยดี” ที่ต้องปิดตัวลง

“แม้ “อร่อยดี” จะปิดตัวลง แต่มองว่าเทรนด์ร้านอาหารมีความเฉพาะเป็นมื้อมากขึ้น ธุรกิจอาหารก็มีความท้าทายและวงจรเป็นของตัวเอง ถ้าเราเปิดแบรนด์ใหม่อาจจะเจ๊งอีกก็ได้ แต่ถ้าเรากลัว ไม่กล้าทำอะไรเลยก็จะไม่ก้าวไปไหน” คุณณัฐกล่าว

อย่างไรก็ดีนอกจากแผนเดินหน้าเชิงรุกแล้ว ในส่วนของแบรนด์ ​CRG ยังคงปรับพอร์ตแบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จะมีทั้งการปิดแบรนด์ที่ไม่ทำกำไรท อาทิการทยอยปิดแบรนด์ Brown และมองหาโอกาสใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่ม หากมีแบรนด์ที่น่าสนใจก็พร้อมลงทุน

 

คุณณัฐ วงศ์พานิช

คุณณัฐ วงศ์พานิช

 

“การปิดบางแบรนด์ เช่น อร่อยดี และ Brown Cafe บางสาขานั้น สิ่งที่ปิดทำให้ธุรกิจเราดีขึ้นเยอะ  มีกำไรมากขึ้น แน่นอนในอนาคตเราก็จะต้องมีบริหารพอร์ตแบรนด์ต่างๆในเครือ ซึ่งก็จะมีทั้งเปิดและปิด ต้องดูผลประกอบการเป็นหลัก ถ้าไม่ดี ก็ตัดออก”

 

เปิด Delicious Lab พัฒนาเมนูใหม่ ต่อยอดความอร่อย 

นอกนี้ยังได้เปิดตัว “Delicious Lab” ในการทำหน้าที่ในการพัฒนาสินค้าจากการสำรวจตลาด ศึกษาลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล โดยทำงานร่วมกับฝ่ายการตลาด จนไปถึง Partner และ Supplier จนกว่าจะเป็นสินค้าใหม่ออกมา  ด้วยคอนเซ็ปต์ “Where Innovation Meets Taste” หรือ “ผสานนวัตกรรม สู่รสชาติที่เหนือกว่า”  

โดยรูปแบบการทำงานของ “Delicious Lab” จะโฟกัสกลยุทธ์ใน  3 เรื่องหลัก ได้แก่ 

1. Quality = Delicious จากปีที่ผ่านมาเราสร้างการเติบโตด้วยวิธีการรับประทานใหม่ ๆ เช่นการรับประทาน Tonkatsu Nabe ทั้งแบบ Sukiyaki, Cheese sauce โดยปีนี้ จะชูจุดแข็งของคุณภาพวัตถุดิบ ซึ่งลูกค้าหลาย ๆ ท่านยังไม่ทราบว่าร้าน Katsuya และ Ootoya  ใช้หมูสด ไม่แช่แข็ง เกล็ดขนมปังชั้นดี ซอสที่คัดสรร และปรุงจากวัตถุดิบคุณภาพดี และพัฒนาคุณภาพต่อในส่วนของกลุ่ม Bakery cuisine

2. Premium Affordable การที่แบรนด์ของเราเข้าถึงลูกค้าในวงกว้าง การนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า การใช้วัตถุดิบพรีเมี่ยม หรือนำเข้า โดยเป็นรสชาติ และ Taste profile ที่ลูกค้ารับรู้อยู่แล้วว่าเป็นของดี ของแพง แต่ราคาเข้าถึงได้ง่าย 

 3. Innovation คือการตอกย้ำการเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรม แป้งโดนัทชนิดใหม่ ๆ เช่นในปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างมากจากโดนัท  ไวท์พอนเดอริง และแป้งข้าวญี่ปุ่นคุมาโมโต้ ซึ่งนำเสนอเนื้อสัมผัสนุ่มหนึบที่คนไทยชื่นชอบ ในปีนี้เรายัง  ต่อยอดจากความสำเร็จด้วย โดนัท ไวท์ พอนเดอริง สตรอเบอรี่  ที่มีไอเดียจากความนิยมในการทาน  สตรอเบอรี่คู่กับนมข้นหวานของชาวญี่ปุ่น แต่เรามาปรับการนำเสนอเป็น โดนัท ไวท์ พอนเดอริง ที่มีสีชมพูสดใสของรสชาติสตรอเบอรี่


แชร์ :

You may also like