ไม่เฉพาะในประเทศไทยที่ผู้สูงอายุถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงิน เพราะในญี่ปุ่น ก็มีผู้สูงอายุจำนวนมากสูญเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตไปกับขบวนการเหล่านี้เช่นกัน และนั่นทำให้จังหวัดโอซาก้า ตัดสินใจออกกฎพิเศษ ห้ามไม่ให้ผู้สูงอายุใช้โทรศัพท์มือถือขณะถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มแล้ว
คำสั่งดังกล่าวยังมีผลให้บรรดาผู้ให้บริการตู้เอทีเอ็มในโอซาก้า ต้องติดโปสเตอร์แจ้งเอาไว้ตัวโต ๆ ว่า ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะกดเงิน รวมถึงกำหนดให้สถาบันการเงินตั้งค่าการโอนเงินของผู้สูงอายุเอาไว้ไม่เกิน 100,000 เยนต่อวันด้วย (ประมาณ 22,500 บาท) อย่างไรก็ดี ไม่มีการระบุในส่วนของโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม โดยเป็นเพียงการขอความร่วมมือกับประชาชนในจังหวัดเท่านั้น (ผู้สูงอายุคือ 65 ปีขึ้นไป)
สำหรับที่มาของการออกกฎดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในปี 2024 ที่พบว่ามีสูงถึง 6,380 ล้านเยน จากคดีทั้งสิ้น 2,658 คดี หรือเท่ากับมีคนญี่ปุ่นถูกหลอกจากแก๊งมิจฉาชีพประมาณ 17 ล้านเยนต่อวัน โดยเนื้อหาที่นำมาใช้หลอกคนญี่ปุ่นมากที่สุดคือการบอกเหยื่อว่าจะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลคืน โดยต้องมาทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม ซึ่งคดีในลักษณะนี้พบว่ามีมากถึง 1,149 คดี หรือมากกกว่า 40% ของคดีทั้งหมด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นยังพบข้อมูลน่าสนใจด้วยว่า 95% ของคดีฉ้อโกงเกิดขึ้นที่ตู้เอทีเอ็มที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล หรือในเวลาที่สถาบันการเงินปิดทำการแล้ว และ 93% ของเหยื่อมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งผลจากข้อมูลนี้ ทำให้ทางจังหวัดตัดสินใจเพิ่มมาตรการที่ตู้เอทีเอ็มให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
กฎดังกล่าวทำให้เกิดข้อถกเถียงในอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ดี มีความคิดเห็นที่น่าสนใจจากศาสตราจารย์นิชิดะ คิมิอากิ ผู้เชี่ยวชาญจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยริสโช ที่บอกว่า การสร้างความตระหนักรู้เพื่อรับมือกับการฉ้อโกงเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายพยายามทำ แต่ในความเป็นจริง ผู้คนไม่สามารถระมัดระวังได้ตลอดเวลา ดังนั้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่คนไม่สามารถโอนเงินได้อย่างสะดวกอาจช่วยป้องกันผู้สูงอายุจากแก๊งมิจฉาชีพได้อีกทางหนึ่ง