อาจเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอออนดีมานด์ที่ชื่อแปลกสักนิดสำหรับ Bilibili (ออกเสียงว่าบิลิบิลิ) น้องใหม่อายุ 2 ปีในตลาดไทย แต่สำหรับในจีนแล้ว พวกเขาเกิดและเติบโตมายาวนาน โดยเปิดตัวตั้งแต่ปี 2009 ในฐานะแพลตฟอร์มด้าน ACG (ย่อมาจาก Anime – Comic – Game) ที่มีแฟนประจำเหนียวแน่น และปัจจุบัน 65% ของผู้ใช้งาน Bilibili ที่สมัครไว้ตั้งแต่ปี 2009 ก็ยังคงเล่นอยู่ (อ้างอิงจากบทสัมภาณ์คุณ Chen Rui ซีอีโอของ Bilibili จาก Pandaily)
Bilibili บทพิสูจน์พลังของคนรักอนิเมะ
จุดเริ่มต้นของ Bilibili มาจากความชื่นชอบของผู้ก่อตั้งอย่างคุณซูอี (Xu Yi) ที่มีตัวละครในดวงใจคือ มิโคโตะ มิซากะ (Mikoto Misaka) ตัวเอกจากอนิเมะเรื่อง A Certain Scientific Railgun และชื่อ Bilibili ก็มาจากความสามารถพิเศษของตัวละครดังกล่าวเช่นกัน
ในช่วงแรกของ Bilibili เป็นการเติบโตในลักษณะของเว็บไซต์สำหรับคนที่ชื่นชอบอนิเมะ ก่อนจะเปลี่ยนมาสู่การเป็นแพลตฟอร์มด้าน VDO on Demand เมื่อเดือนมกราคม 2010 และใช้ชื่อ Bilibili อย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ได้เติบโตเปรี้ยงปร้างในทันใด โดยในจุดนี้ คุณตะวัน หรือ กัน ซิ่น ฮั่น (Gan Xinhan) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารประจำประเทศไทย ของ Bilibili ได้เล่าย้อนให้ฟังถึง Bilibili ในช่วงเริ่มต้นว่า
“ช่วงเริ่มต้น (2009 – 2010) ของบริษัท เราไม่เคยมองว่าต้องทำเป็นบริษัทใหญ่ เพื่อหารายได้จากอนิเมะให้มาก ๆ แต่เรามีลักษณะคล้ายคอมมูนิตี้สำหรับให้คนมาพูดคุยเกี่ยวกับอนิเมะที่ชอบกันเท่านั้น”
เมื่อ Bilibili พบซีอีโอที่ “ใช่”
การเติบโตของ Bilibili ในทุกวันนี้ นอกจากผู้ก่อตั้งอย่าง Xu Yi แล้ว อีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันก็คือคุณเฉิน ยุย (Chen Rui) นักธุรกิจในแวดวงอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีของจีน โดยเขายอมรับว่าตัวเองนั้นก็เข้ามารับชมอนิเมะบนแพลตฟอร์มของ Bilibili อยู่บ่อยครั้ง จนนำไปสู่การพูดคุยกันกับ Xu Yi และเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Bilibili เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014
ภายใต้การบริหารของ Chen Rui เขาได้วางกลยุทธ์ไว้ว่า ต้องให้ความสำคัญกับคอมมูนิตี้เป็นอันดับแรก หรือ Community First ซึ่งทำให้ Bilibili มีการลงทุนซื้ออนิเมะลิขสิทธิ์ที่มีคุณภาพสูงมามากมาย และนั่นทำให้วัยรุ่นจีนให้ความสนใจเข้ามาใช้บริการในแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในจุดนี้ คุณตะวันได้กล่าวเสริมให้เห็นภาพมากขึ้นว่า
“วัยรุ่นในจีนมองว่า บริษัทไม่หาเงินจากคนที่ชอบอนิเมะ ซึ่งเขามองว่านี่คือความจริงใจ และทำให้วัยรุ่นทั่วประเทศจีนต่างพากันเข้ามาที่แพลตฟอร์มของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ”
สร้างจุดต่างด้วยการเปิดพื้นที่ User Generated Content
นอกจากการเป็นแพลตฟอร์ม VDO on Demand แล้ว สิ่งที่ทำให้ Bilibili แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดเดียวกันคือการเปิดพื้นที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างคอนเทนต์และอัปโหลดขึ้นมาบนแพลตฟอร์มได้ด้วยหรือที่เรียกว่าคอนเทนต์ประเภท UGC (User Generated Content)
ข้อมูลจาก PanDaily ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ Bilibili มีครีเอเตอร์ที่อัปโหลดคอนเทนต์ขึ้นแพลตฟอร์มทั่วโลกรวมกัน 3.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 75% ส่วนตัวเลขคอนเทนต์ที่มีการอัปโหลดขึ้นบนแพลตฟอร์มนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ 12.6 ล้านชิ้นต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 63%
สำหรับประเทศไทย คุณตะวันเผยว่า ปัจจุบัน Bilibili มี Monthly Active Creators มากกว่า 8,000 ราย โดยมีค่าเฉลี่ยในการโพสต์อยู่ที่ 3 – 4 คลิปต่อเดือน และหากเป็นครีเอเตอร์ระดับท็อปจะมีทักษะในการทำคลิปที่สูงมากด้วย
สาเหตุที่ทางแพลตฟอร์มเปิดให้มีคอนเทนต์แบบ UGC นอกเหนือจากการเป็น VDO on Demand มาจากความเข้าใจหัวอกคนชอบอนิเมะด้วยกัน โดยคุณตะวันกล่าวว่า หลายคนไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่อยากมีส่วนร่วมกับอนิเมะเรื่องที่ชอบ หรือแค่ทำคลิปออกมาแล้วมีคนชื่นชม แค่นี้พวกเขาก็มีความสุขมากแล้ว
“เราพบว่ามีครีเอเตอร์ UGC (User Generated Content) หลายคนที่ชอบพากษ์เสียงอนิเมะ เราก็เคยจัดกิจกรรม พาครีเอเตอร์ไปเยี่ยมชมสตูดิโอเลยว่า นักพากษ์มืออาชีพทำงานกันอย่างไร และให้เขาลองพากษ์อนิเมะจริง ๆ นอกจากนั้น ทางแพลตฟอร์มเองก็อยากทำเป็นอนิเมะพากษ์ไทยเหมือนกัน เราเลยมองว่า กิจกรรมนี้จะเปิดไปเรื่อย ๆ ถือเป็นการทดลองอย่างหนึ่ง เพราะเราก็เข้าใจคนที่เป็นแฟนคลับ เขาย่อมอยากมีความเกี่ยวข้องกับ (อนิเมะ) เรื่องนี้บ้าง ในฐานะแพลตฟอร์ม เราจึงมองว่า เราควรสร้างโอกาส สร้างอาชีพให้เขาเข้าสู่วงการนักพากษ์มืออาชีพได้ด้วย”
“ในแพลตฟอร์มเรามีครีเอเตอร์มากมายที่ทำคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ โดยใช้ทักษะการพากย์เสียงประกอบกับความชื่นชอบในอนิเมะ เราก็มองว่า ปกติเขาก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากฝั่งไหน แค่มีคนชอบดู เขาก็ปลื้มแล้ว เราก็กำลังมองว่า จะมีโอกาสดึงเขาเข้ามาในทีมแปลของเราได้ไหม เราอยากทดลอง อยากมีเป้าหมาย อยากให้เราเป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งมั่นลงไปถึงระดับโปรดักชัน ลงไปในทุกส่วนของอุตสาหกรรมนี้” คุณตะวันกล่าว
Bilibili ก้าวเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ
การเติบโตของ Bilbili มาถึงจุดที่ต้องเข้าตลาดหุ้น โดยพวกเขาทำมันสำเร็จในเดือนมีนาคม 2018 กับการไปปรากฏชื่ออยู่ในตลาด Nasdaq ของสหรัฐอเมริกา และนำไปสู่การจับมือกับสตูดิโอชื่อดังต่าง ๆ ทั่วโลกในเวลาต่อมา ซึ่งทำให้คอนเทนต์ในแพลตฟอร์มมีความเข้มแข็งมากขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการเติบโตของ Bilibili ในปี 2022 ที่พบว่าไตรมาสแรกของปี 2022 พวกเขามียอดผู้ใช้งานรายเดือน (The average monthly active users) อยู่ที่ 294 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีผู้ใช้งานแบบจ่ายเงินรายเดือนถึง 27.2 ล้านคน และมีรายได้ 5,054 ล้านหยวน หรือประมาณ 25,265 ล้านบาท
ส่วนในไตรมาส 2 ของปี Bilibili มีผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 305.7 ล้านคน ส่วนรายได้สุทธิลดลงเล็กน้อยเหลือ 4.9 พันล้านหยวน (ประมาณ 24,842 ล้านบาท) แต่ในด้านผู้ใช้งานแบบจ่ายเงินรายเดือนพบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 27.5 ล้านคน และยังเป็นการเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2021 ถึง 32% เลยทีเดียว ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 จะมีการแถลงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้
แพลตฟอร์มที่มีคนเยอะ “สร้างสรรค์ได้มากกว่า”
เมื่อหันมาดูโมเดลการสร้างรายได้ของ Bilibili จะพบว่ามาจากหลายช่องทาง หรืออาจเรียกว่าเตรียมตะกร้าไว้หลายใบ ไม่ได้โฟกัสไปที่รายได้จากค่าโฆษณาแต่เพียงอย่างเดียว เห็นได้จากบริษัทมีการสร้างเกมโมบายล์ และทำรายได้จากธุรกิจดังกล่าว 1,046.2 ล้านหยวน รวมถึงมีรายได้จากธุรกิจ VAS (Value-added services เช่น การไลฟ์บรอดแคสต์ ฯลฯ) อีก 2,103 ล้านหยวน รายได้จากค่าโฆษณา 1,158 ล้านหยวน, รายได้จากอีคอมเมิร์ซ 601 ล้านหยวน (ตัวเลขจากไตรมาส 2 ของปี 2022)
“การสร้างรายได้ในอุตสาหกรรมอนิเมะจะไม่ได้มาจากการโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นอุตสาหกรรมที่สามารถต่อยอดไปได้อีกหลายธุรกิจ เราทำไลฟ์ได้ เราทำเกมได้ แล้วยังสามารถนำเทคโนโลยีอนิเมชันไปประยุกต์เรื่องทำภาพยนตร์ได้อีกมาก นี่คือการต่อยอดของแพลตฟอร์ม” – คุณตะวันกล่าว
สร้างจุดต่างในไทย ด้วยการ “ไร้โฆษณา”
สำหรับประเทศไทย Bilibili ยังไม่มีโครงสร้างด้านการหารายได้เหมือนในตลาดโลก ส่วนหนึ่งเพราะทางแพลตฟอร์มเพิ่งเริ่มเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการในปี 2019 ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ช่วงเวลาตอนนี้ในการสำรวจตลาด สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค และปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของคนไทยให้เร็วที่สุด
แต่สิ่งหนึ่งที่ทางแพลตฟอร์มมองว่าสามารถสร้างความแตกต่างได้แล้วก็คือ การเป็นแพลตฟอร์มที่มีอนิเมะลิขสิทธิ์ให้เลือกรับชมมากกว่า 1,500 เรื่อง ซึ่งคุณตะวันบอกว่า Bilibili เป็นแพลตฟอร์มที่มีอนิเมะมากที่สุดในบรรดาแพลตฟอร์ม VDO on demand ที่ทำตลาดอยู่ในขณะนี้ โดยคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์ม ส่วนใหญ่คืออนิเมะชื่อดังแห่งยุคอย่าง Spy x Family, Demon slayer, One piece แต่ก็มีคอนเทนต์ประเภทอื่น ๆ เช่น คอนเทนต์ด้านเกม การพากษ์เสียงอนิเมะ คอสเพลย์ ที่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญ ทางแพลตฟอร์มยังไม่เคยถอดอนิเมะเรื่องใด ๆ ออก และไม่มีแผนจะใส่ “โฆษณา” ลงมาให้การรับชมเสียอรรถรสแต่อย่างใด โดยปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยของผู้ใช้งาน Bilibili ในไทยพบว่า มีการเข้ามาชมคอนเทนต์ขั้นต่ำ 3 – 4 ตอนต่อวัน และทางแพลตฟอร์มยังมีอนิเมะหลายเรื่องที่หาไม่ได้จากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย
ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มด้านอนิเมะ ผู้บริหารเองก็คงต้องมีอนิเมะในดวงใจอยู่บ้าง ซึ่งสำหรับคุณตะวัน เขาได้เผยว่า 3 อนิเมะเรื่องโปรดก็คือ นารูโตะ สวรรค์ประทานพร และ Spy x Family
“ปัจจุบัน คอนเทนต์ของ Bilibili สองในสามมาจากญี่ปุ่น และส่วนที่เหลือมาจากจีน ซึ่งพบว่ามีคนไทยให้ความสนใจและยอมรับอนิเมชันจากจีนมากขึ้น เช่น เรื่องสวรรค์ประทานพร นอกจากนั้น เรื่องที่เราดีใจก็คือ ตัวเลข Daily active user ของเราในปี 2022 เติบโตขึ้นจาก 2021 ประมาณ 50% ซึ่งคนที่เพิ่มมากขึ้น สะท้อนว่าแพลตฟอร์มของเราจะมีความหลากหลายมากขึ้นโดยอัตโนมัติ เหมือนที่เกิดขึ้นในจีน ที่เมื่อมีคนเข้ามามาก ๆ ก็จะมียูสเซอร์อัปโหลดคอนเทนต์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ ทำอาหาร สัตว์เลี้ยง ฯลฯ เพิ่มเข้ามา ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์ในปีหน้า เราจะขยาย ecosystem ให้หลากหลายมากขึ้น โดยจะยังโฟกัสในคอนเทนต์ประเภท ACG เป็นหลัก” คุณตะวันกล่าวปิดท้าย