ผลประกอบการไตรมาสแรกของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ประกาศออกมาแล้ว ซึ่งบริษัทไม่เพียงมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าโฆษณาที่บรรดาแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มเห็นสัญญาณดีและกลับมาใช้จ่ายกันอีกครั้ง แต่ในไตรมาสนี้ งบการเงินของ Alphabet ยังโชว์ว่า บริษัทสามารถเซฟเงินได้อีก 268 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,345 ล้านบาทจากการให้พนักงาน Work From Home ด้วย
เหตุที่กล่าวเช่นนั้นเพราะเมื่อพนักงานไม่ต้องเข้ามาที่ออฟฟิศ (พนักงาน Google เริ่ม Work From Home ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020) บริษัทก็ลดค่าใช้จ่ายสำหรับเอนเตอร์เทนพนักงานลงไปได้หลายข้อนั่นเอง อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าพนักงานส่วนใหญ่จะคิดถึงบรรยากาศของการทำงานในออฟฟิศ และ Google ก็มีแผนจะกลับมาเปิดออฟฟิศอีกครั้งในเดือนกันยายนนี้ และอาจมีการปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบไฮบริดแทน
นอกจากนี้ ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเอนเตอร์เทนพนักงาน มีเอกสารที่ Alphabet ได้ยื่นต่อคณะกรรมาธิการควบคุมการซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ หรือ SEC ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2020 ระบุว่า บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและการทำการตลาดลดลง 518 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2019 เนื่องจากอีเวนท์ต่าง ๆ ได้ปรับรูปแบบมาจัดผ่านออนไลน์เท่านั้น ซึ่งเมื่อแยกย่อยลงไปยังพบว่า บริษัทลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการเอนเตอร์เทนพนักงานไปได้ถึง 371 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,552 ล้านบาทเลยทีเดียว
กำไรไตรมาสเดียว 5.57 แสนล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ของ Alphabet พบว่ามีรายได้ 55.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนหนึ่งมาจากสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ทำให้ธุรกิจโรงแรม – การท่องเที่ยวกลับมาทุ่มเงินซื้อโฆษณากันมากขึ้น
สำหรับรายได้จากธุรกิจเสิร์ช และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ที่ 31.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้จากค่าโฆษณาของ YouTube ไตรมาสนี้ทำไปที่ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ปีที่แล้วทำได้ 4.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ) รายได้จาก Google Cloud 4.05 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ที่อยู่ที่ 2.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
หรือในส่วนรายได้อื่น ๆ (อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์, เพลย์สโตร์ ฯลฯ) นั้นอยู่ที่ 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นจาก 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน) ขณะที่รายได้จากธุรกิจ Other Bets เช่น รถอัจฉริยะไร้คนขับ – โดรนส่งของ นั้นทำเงินได้ 198 ล้านเหรียญ (ขาดทุน 1.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
ทั้งหมดนี้ ทำให้ Alphabet ในไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 17.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 557,406 ล้านบาท เหนือกว่าปี 2020 ที่ผ่านมาที่เคยทำได้ 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐอยู่หลายเท่า