HomeInsightMarketing Tsunami เมื่อ 3 เทคโนโลยีถล่มนักการตลาด กับ 5 วิธีคิด “ยืนหนึ่ง” ฝ่าวิกฤติ

Marketing Tsunami เมื่อ 3 เทคโนโลยีถล่มนักการตลาด กับ 5 วิธีคิด “ยืนหนึ่ง” ฝ่าวิกฤติ

แชร์ :

ในโลกเทคโนโลยีที่มีการพัฒนา Tools การตลาดใหม่ มีความสามารถสุดล้ำ กลายมาเป็น “สึนามิทางการตลาด” (Marketing Tsunami) ถาโถมใส่แนวคิดการตลาดแบบเดิมให้พังราบ กับโลกการตลาดยุคใหม่ที่มีความแม่นยำแบบไม่ต้องเดาอีกต่อไป

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ตามดูเทคโนโลยีที่มาพลิกการตลาดยุคใหม่ และหากต้องการเป็นนักการตลาดที่โดดเด่น ต้องปรับวิธีคิดอย่างไรในปี 2020 ที่ดูแล้วเศรษฐกิจยังไร้สัญญาณบวก ผ่านมุมมอง ดร.เอกก์ ภทรธนกุล  ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3 เทคโนโลยี Marketing Tsunami

สำหรับเทคโนโลยี ที่จะกลายเป็น “สึนามิทางการตลาด”  แบบที่เรียกว่า Perfect Storm ลูกใหญ่ ที่ทำให้แนวคิดการตลาดแบบเดิมพังราบ มี 3 เทคโนโลยี

1. AI เรียนรู้อารมณ์คนมากขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น อ่านพฤติกรรมคน และประมวลผลออกมาได้

แนวคิดเดิมในอดีต AI ยังทำงานหลายอย่างไม่ได้ เช่น AI  ไม่เข้าใจอารมณ์มนุษย์ ไม่สามารถคิดสร้างสรรค์งานได้ แต่วันนี้ AI ทำได้เกือบทุกอย่างแล้ว จาก Machine Learning  ทำให้เข้าใจอารมณ์ผู้คน จากการจับลักษณะใบหน้า เช่น อารมณ์โกรธ จากการขมวดคิ้ว หรือการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิของร่างกาย ทำให้สามารถประมวลผลได้ว่าน่าจะกำลังโกรธ  ทำให้เทคโนโลยี AI ในยุคนี้ “รู้จักอารมณ์ของผู้คนได้ดีกว่านักการตลาดและเข้าใจผู้คนมากกว่ามนุษย์เข้าใจตัวเอง”

เมื่อมาเทียบกับ Marketing Tsunami  นั่นคือการทำเรื่อง Customer Satisfaction  ที่ไม่ต้องมานั่งทำแบบสำรวจกรอกข้อมูล หรือ โทร.สอบถามเพื่อให้กดระดับความพึงพอใจ เพราะ AI สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ความพอใจของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอยู่ที่ระดับไหน

ปัจจุบันบริษัท  SAP กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องอ่านใจคนใน AI เพื่อดูว่าคนกำลังคิดอะไร รู้สึกอะไร หากนำมาใช้และได้ข้อมูลใกล้เคียงความจริง ถือเป็นอีก Marketing Tsunami จากแนวคิดของนักการตลาดที่บอกว่าตัวเองเข้าใจลูกค้ามากกว่าลูกค้าเข้าใจตัวเอง กลายเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจลูกค้าได้ทุกคน จากการใช้เทคโนโลยี AI  ที่จะเข้ามา Disrupt การทำงานและหลายอาชีพ ที่อาจไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์อีกต่อไป

2. IOE (Internet Of Everything) อินเทอร์เน็ตสามารถอยู่ทุกที่ กลายเป็นเครื่องมือที่สามารถเก็บข้อมูลของคนได้

ต่อจากยุค IoT (Internet of Thing)  เมื่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกระจายวงกว้างและมีต้นทุนต่ำลง ก็มาถึงยุค IOE (Internet Of Everything) อุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า  ที่เรียนรู้อุณหภูมิร่างกายมนุษย์ ทำให้รู้ว่าผู้สวมใส่อยู่ในอาการใด ไม่สบายหรือไม่ การขยับร่างกายทำให้รู้ว่าใช้พลังงานไปกี่แคลอรี อัตราการเต้นของหัวใจว่าผิดปกติหรือไม่  IOE ทำให้เสื้อผ้าเป็นอีกอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลของผู้บริโภคได้ โดยไม่ต้องมาทำวิจัยการตลาด

แบรนด์ที่ทำเรื่อง IOE ได้ดี ต้องยกให้ Xiaomi  ที่มีการพัฒนาของใช้ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เริ่มตั้งแต่สินค้าราคา 200 บาท  ทำให้ Xiaomi  มีดาต้าการใช้งานจำนวนมากที่จะมาวิเคราะห์ต่อยอดพัฒนาสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการต่อไป เป็นข้อมูลที่ทำให้ Xiaomi รู้จักลูกค้ามากกว่านักการตลาดเสียอีก

3. 5G ใหญ่กว่า เร็วกว่า กว้างกว่า ธุรกิจต้องตามติดพฤติกรรมลูกค้าให้ทัน

อย่างที่รู้กันว่าประเทศไทยเพิ่งผ่านการประมูลคลื่นความถี่ที่จะนำมาใช้ในเทคโนโลยี 5G  เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และเดือน มี.ค.นี้ เริ่มมีโอเปอเรเตอร์มือถือทดลองให้บริการ 5G กันแล้ว

เทคโนโลยี 5G ให้บริการได้ดีกว่า 4G ทั้งช่วงคลื่นความถี่ที่มีใหญ่กว่า เร็วกว่า และกว้างกว่า ทำให้ส่งและรับข้อมูลได้รวดเร็ว  ผู้บริโภคจะตอบสนองเร็วขึ้น เป็นสิ่งที่ธุรกิจและนักการตลาดต้องตามติดพฤติกรรมลูกค้าให้ทัน

การทำงานที่ได้ประโยชน์จากความเร็วแบบเรียลไทม์ของ 5G คือ ด้านการสาธารณสุข การแพทย์   หรือ Smart Health  ที่สามารถใช้ระบบการแพทย์ทางไกล  (Telemedicine) ในการรักษา ไม่ว่าจะเป็น การให้คำปรึกษาจากแพทย์ในกรุงเทพฯ ผ่านเทคโนโลยี 5G ไปยังต่างจังหวัด  หรือ การปรึกษาแพทย์จากต่างประเทศมายังการรักษาในประเทศไทยทุกอย่างทำได้แบบเรียลไทม์

โลกการตลาดในยุค  Marketing Tsunami  ข้อมูลจะมีการสื่อสารกันอย่างรวดเร็วมากขึ้น  เทคโนโลยี 5G ที่รวดเร็ว ทำให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น เปิดรับข้อมูลต่างๆ มากขึ้น แต่ก็ละทิ้งไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

คำแนะนำสำหรับ “นักการตลาด” จึงต้อง “เปิดหู” รับฟังเรื่องใหม่ๆ ในโลกเทคโนโลยีเพื่อเรียนรู้และใช้งาน  “เปิดตา” มองนอกอุตสาหกรรมที่ตัวเองอยู่ และตลาดนอกประเทศ  “เปิดใจ”  เพราะสิ่งที่เคยทำสำเร็จอาจไม่สำเร็จ และอาจกลับมาสำเร็จอีกก็ได้  สิ่งที่นักการตลาดต้องทำ คือการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา!

5 วิธีคิดนักการตลาด “ยืนหนึ่ง

การทำธุรกิจในปี 2020 ดูแล้วต้องบอกว่าเหนื่อย! นอกจากเทคโนโลยีถาโถมแล้ว สถานการณ์ความไม่แน่นอนและคาดเดาไม่ได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ทำให้ “นักการตลาด” ต้องปรับวิธีคิดใหม่ๆ หากอยาก “ยืนหนึ่ง” ในตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวนปีนี้

1. Mindset เถ้าแก่  คือการสู้ไม่ถอย ทำไม่เลิก กล้านอกตำรา เสี่ยงได้ ล้มแล้วลุกใหม่  เพราะการแข่งขันในยุคนี้ต้องเจอกับทั้งทุนใหญ่ ทุนข้ามชาติ ที่มีอาวุธเทคโนโลยีครบมือ  การจะไปต่อได้ต้องมีกลยุทธ์ที่แตกต่าง คิดแล้วทำเลย  อดทน และสู้ไม่ถอย

2. เริ่มต้นดูแลจากคนข้างใน  วันนี้ลูกค้าไม่ได้อยู่แค่ข้างนอก แต่คนในองค์กรก็คือลูกค้าเช่นกัน จึงต้องให้ความสำคัญกับคนใน ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ สวัสดิการ เพื่อทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร มีความเป็นเจ้าของและรักองค์กร ดังนั้นนักการตลาดต้องทำงานร่วมกับแผนกต่างๆ ในองค์กร เช่น HR เพื่อทำเรื่องสวัสดิการที่พนักงานต้องการ

3. ลองเข้าใจงานแผนกอื่นด้วย นักการตลาดไม่ควรสนใจแค่โลกการตลาดของตัวเอง แต่ควรเรียนรู้  หน้าที่แผนกอื่น ๆ ด้วย จะได้เข้าใจการทำงานและเชื่อมทุกระบบไปในทิศทางเดียวกัน

4. Fail fast, Learn fast คิดแล้ว ทำเลย อย่ามัวแต่คิดวางแผน เพราะสุดท้ายจะไม่ได้ลงมือทำหรือทำช้าเกิน อาจพลาดโอกาสทางธุรกิจไป หรือถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ ก็ได้เรียนรู้เร็วและไปเริ่มต้นทำสิ่งใหม่แทน แต่ถ้าสำเร็จนั่นเท่ากับ “ชัยชนะ” ที่ได้มาอย่างรวดเร็ว   

5. ช่างมัน แล้วไปต่อ วันนี้ไม่มีอะไรบอกได้ว่าต้องทำอะไรถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าสิ่งที่ทำไม่สำเร็จ ต้องรู้จักช่างมันให้เป็น อย่าจมอยู่กับความล้มเหลว แต่ต้องลุกขึ้นแล้วไปต่อให้เร็ว

Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand


แชร์ :

You may also like