กลายเป็นภาพยนตร์โฆษณาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ Super Bowl ปีนี้ ซึ่งนับว่าช่วงเวลาที่ราคาค่าโฆษณาแพงที่สุดในโลก ดังนั้นแต่ละเอเจนซี่และแบรนด์ต้องงัดไอเดียมาแข่งขันกันสุดฤทธิ์เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด และในปีที่โฆษณาที่สำนักข่าวต่างประเทศต่างก็ยกให้เป็นจอมขโมยซีนตัวจริงคือ โฆษณาชุด “It’s a Tide Ad” ผลงานสร้างสรรค์ของ Saatchi& Saatchi New York ดีอย่างไร และมีสิ่งดีๆ อะไรบ้างที่เราควรเรียนรู้จากแคมเปญนี้ ไปติดตามกัน
จะว่าไปแล้วนี่คือโฆษณาที่ล้อเลียน(Parody) โฆษณาชิ้นอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นภาพจำให้กับแบรนด์นั้นๆ ไปแล้ว Tide แบรนด์ผงซักฟอกอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาของเครือ P&G อาศัยประโยชน์ของความทรงจำเหล่านั้นมาเล่นตลก โดยอาศัยการเล่าเรื่องผ่าน David Harbour นักแสดงที่ผู้ชมจดจำเขาได้จากบทบาทของ Jim Hopper ในซีรี่ส์เรื่อง Stranger Things ให้เขาไปปรากฏตัวในโฆษณาที่ถูกเซ็ทอัพขึ้นมาเหมือนกับโฆษณาของแบรนด์ดังอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ทั้งฉาก ตัวแสดง เสื้อผ้า … แต่ เสื้อผ้าทุกตัวละครกลับสะอาดดดดดดปิ๊ง!!! ชนิดที่ถึงแม้ว่าบทบาทของพวกเขาอาจจะต้องเลอะเทอะ แต่เสื้อผ้าก็ยังสะอาดเอี่ยม และส่วนใหญ่เสื้อผ้าของตัวละครในโฆษณาก็มักจะต้องสะอาดอยู่แล้ว พร้อมกันนั้น David Harbour ก็บอกกับผู้ชมและตัวละครอื่นๆ เหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากรอกหู จนกลายเป็นประโยคติดหูว่า “It’s a Tide Ad” (นี่คือโฆษณา Tide) เห็นไหมละ ทุกคนเสื้อผ้าสะอาดทั้งนั้นเลย หรือ ทุกๆ โฆษณาที่เสื้อผ้าสะอาด มันคือ Tide Ad ทั้งนั้นแแหละ
https://www.youtube.com/watch?v=6gGXnE1Dbh0
นอกเหนือจากตัวภาพยนตร์โฆษณาสุดกวนแล้ว แผนการโปรโมทก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน มีประเด็นที่นักการตลาดและโฆษณาสามารถเรียนรู้ได้ ดังนี้
– การใช้เครือข่ายของ Key Online Influencer
นอกจากจะนำตัวละครดังจากโฆษณาหลายเรื่องมาปรากฏตัวในโฆษณาของ Tide แล้ว เหล่านักแสดงพวกนั้น ซึ่งหลายคนแจ้งเกิดจากคาแร็กเตอร์ที่พวกเขารับบทในโฆษณา เช่น Isaiah Mustafa พ่อหนุ่มผิวสี กล้ามบึ๊ก สุดเท่ ใน Old Spice ก็ใช้ช่องทางโซเชี่ยลมีเดียของตัวเองโปรโมทคลิปของ Tide ด้วย
We’re the clean your clean wishes it cleaned like. Unless your clean is @Tide #TideAd #SB52 #SBLII pic.twitter.com/BWHmntvFE3
— Isaiah Mustafa (@isaiahmustafa) February 5, 2018
– รวมพลังแบรนด์ สร้าง Win-Win Situation
การกล่าวถึงโฆษณาชิ้นอื่น ความจริงแล้วก็เท่ากับ Remind ให้ผู้ชมย้อนคิดถึงโฆษณาเหล่านั้นไปในตัว ผลงานชุด “It’s a Tide Ad” หยิบเอาโฆษณาดัง 2 ชิ้นของ Old Spice และ Mr.Clean ซึ่งก็เป็นแบรนด์ในเครือ P&G มาทำให้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์โฆษณาดังในอุตหาหกรรมอื่น เช่น Budweiser รวมทั้ง แบรนด์รถยนต์ ซึ่งจะว่าไปแล้ว แบรนด์เหล่านี้ก็ได้อานิสงห์ไปกับมุขสุดเกรียนของ Tide นะ
– ไอเดียที่เชื่อมโยงกับการวางมีเดีย
โฆษณาชิ้นนี้เวอร์ชั่นนานที่สุด มีความยาว 45 วินาที มีการประเมินกันว่า Tide ซื้อแอร์ไทม์ทั้งหมด 90 วินาที ค่าใช้จ่ายน่าจะอยู่ที่ 15 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อ30 วินาที Tide ยิงโฆษณาเวอร์ชั่นเต็มในควอเตอร์แรกของการแข่งขันครั้งเดียว หลังจากนั้นในควอเตอร์อื่นๆ ก็ยิงโฆษณาเวอร์ชั่น 15 วินาที แล้วอาศัยการพูดถึงในโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้ชมเก็ทว่าโฆษณาชุดอื่นๆ ที่ใช้มุขเดียวกันเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าหากว่าใครได้ดูเวอร์ชั่นเต็มก็ดีไป แต่ถ้าดูแค่ 15 วินาที ก็ยังคงเข้าใจวิธีการนำเสนอของโฆษณาอยู่ดี เมื่อเทียบกับโฆษณาชิ้นอื่น ที่เล่าเรื่องยาวรวดเดียวจบ 90 วินาที โฆษณาของ Tide จึงมีโอกาสที่คนจะได้ดูอย่างน้อยเวอร์ชั่นใดเวอร์ชั่นหนึ่งจึงเพิ่มมากขึ้น ด้วยงบประมาณเท่ากัน
– ตามป่วนระหว่างเกม
ช่วงต้นควอเตอร์ 3 ของการแข่งขัน David Harbour พรีเซนเตอร์ของ Tide ยังปรากฏตัวขึ้นในช่วง in-game promo ในชุดแข่งของ Eagles และ Patriots สองทีมผู้ท้าชิงซูเปอร์ โบล์รอบนี้ และตอกย้ำ Key Message เดิม ในชุดแข่งที่ถึงแม้จะผ่านไป 2 ควอเตอร์แล้ว ชุดทั้งสองก็ยังสะอาดเหมือนเดิม
Eagles vs. Patriots? More like, #TideAd vs #TideAd #SBLII @tide pic.twitter.com/GcTZ4VS6PB
— NFL (@NFL) February 5, 2018
– ของแบบนี้ “ดวง” ก็มีส่วนนะจ๊ะ
ฟลุ๊กสุดๆ ก็ตรงที่โฆษณา 15 วินาทีสุดท้ายของ Tide ที่ล้อเลียน Budweiser ดันถูกฉายก่อนโฆษณา Budweiser เวอร์ชั่นจริง ทำให้กระแสความฮาเลยทวีคูณขึ้นไปอีก
Steve Parker, Jr., co-founder และ CEO ของ ดิจิทัลเอเจนซี่ชื่อว่า Levelwing กล่าวว่า “การวางแผนหลังเกม ก็เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่การวางแผนล่วงหน้าของ Tide เพื่อขโมยซีนผลงาน Execution ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต เป็นไอเดียที่น่าทึ่งมาก มันสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมได้ตลอดเกมการแข่งขัน แล้วยังล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลาที่เกมยุติไปแล้วผ่านโซเชี่ยลมีเดียและช่องทางอื่นๆ”