HomeFeatured10 ความเชื่อผิดๆ Mobile Marketing

10 ความเชื่อผิดๆ Mobile Marketing

แชร์ :

 

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

จากการที่การโฆษณาผ่านอุปกรณ์พกพาต่างๆ (Mobile Advertising) เติบโตขึ้นอีกถึง 67% ในปี 2013  แต่ก็มีบางกลุ่มยังคิดว่ามันคุ้มค่าในการลงทุน หรือไม่   แต่อีกฝากนึง สมาคมการตลาดโทรศัทพ์มือถือ (The Mobile  Marketing Association) ได้ให้คำแนะนำว่า เงินที่ใช้สำหรับ Mobile advertising ควรจะอยู่ที่ประมาณ 7% ของงบประมาณที่ใช้ในในการโฆษณาทั้งหมดของนักลงทุน และจะเพิ่มเป็น 10% ในอีก 4 ปีข้างหน้า  นอกจากนี้ข้อมูลล่าสุดจาก The Interactive Advertising Bureau of Australia เผยว่าถึงแม้โฆษณาผ่านสื่อทั่วๆไปจะลดลงเพียงเล็กน้อย  แต่โฆษณาผ่านสื่อออนไลน์และโทรศัพท์มือถือกลับมียอดแนวโน้มติบโตขึ้นเป็น 2 เท่าในแต่ละไตรมาสของปีนี้   โฆษณาผ่านมือถือหรืออุปกรณ์พกพาเห็นจะเป็นช่องทางทางกำลังโตวันโตคืน   แต่ทว่าทำไมจึงยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลงทุนในสื่อดังกล่าว   ต่อไปนี้คือ  10 ข้อมูลหรือความเชื่อผิดๆสำหรับ  Mobile  Advertising

1. ผู้ใช้ Mobile Device เป็นวัยรุ่นที่ไม่มีกำลังทรัพย์

ผู้ใช้อุปกรณ์พกพา(Mobile Device) ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นวัยรุ่นมักจะไม่ให้ความสนใจกับโฆษณาบน smartphone และ tablet ของพวกเขา จึงทำให้การลงทุนไม่คุ้มค่า   จริงอยู่ที่ 73% ของวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปีเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน (Smartphone) และถือเป็นส่วนที่มากที่สุด   แต่ก็ยังมีอีก 66% ของคนที่อายุระหว่าง 30-49 ปีที่กำลังใช้สมาร์ทโฟนอยู่ด้วยเช่นกัน  และผลสำรวจจาก Telsyte ยังคาดการณ์อีกว่าในปีหน้า  30% ของเจ้าของ tablet  ชาวออสเตรเลียจะมาจากกลุ่มคนเหล่านี้  และคนนึงจะพกพาอุปกรณ์มากกว่า 1  สรุปแล้วจำนวนผู้ใช้ก็ไม่ใช่พวกวัยรุ่นเพียงอย่างเดียว

 

2. โฆษณาทีวี มีความสำคัญมากกว่า  Mobile Advertising

ในขณะที่ TV และหนังสือพิมพ์ยังคงมีอิทธิพลสูงสุดในการโฆษณา การให้ความสนใจในสื่ออื่นๆของผู้บริโภค ก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ผลการสำรวจจาก Google และ IPSOS เผยว่า 77% ของเวลาที่เราใช้ในการดู TV เราจะใช้เวลานั้นกับการใช้งานอุปกรณ์อื่นๆด้วย โดยเป็นการใช้งานสมาร์ตโฟนถึง 49% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าต้องวางกลยุทธ์ โทรทัศน์ ให้ควบคู่ไปกับอุปกรณ์ดิจิตอลอื่นๆ     อย่างไรก็ตาม บางแบรนด์ที่ขาดวิสัยทัศน์ในประเด็นนี้   เนื่องจากเห็นว่าแคมเปญรูปแบบเดิมๆของพวกเขายังคงใช้ได้ผลดี

 

3.  การเรียนรู้ Mobile ใหม่ๆมันเป็นเรื่องยาก

“เราเพิ่งจะเข้าใจและคุ้นเคยกับสื่อดิจิตอล และตอนนี้เรายังต้องเรียนรู้อุปกรณ์ใหม่ๆอีกแล้วหรือ ?” คำถามนี่อาจจะเป็นความคิดแรกของพวกคุณหลังจากที่วางกลยุทธ์ Mobile  แต่การก้าวเท้าเข้าสู่โลก Mobile  ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องรู้และเข้าใจข้อมูลทั้งหมด  การเรียนรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนรวมถึงเรียนรู้ข้อผิดพลาดต่างๆไปด้วย  ก็จะทำให้คุณเข้าใจข้อมูลต่างๆมากขึ้น และสามารถนำมาพัฒนาก้าวต่อๆไปของคุณเอง

 

4. Mobile Device ก็แค่เอาไว้โทร และ เล่น App นิดหน่อย

ดรรชนีไลฟ์สไตล์การใช้โทรศัพท์มือถือของออสเตรเลีย (The Australian Mobile Phone Lifestyle Index (AMPLI)) ชี้ว่า 51% ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ เข้าอินเตอร์เน็ตมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน โดย 55% ใช้เพื่อดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ และ 45% ใช้เพื่อความบันเทิง ปัจจุบันสมาร์ตโฟนได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างอิสระ มากกว่าการใช้เพื่อโทรศัพท์และ App ที่ติดมากับตัวเครื่อง จึงทำให้คนเราติดการใช้งานสมาร์ทโฟนมากขึ้น  สำหรับนักการตลาดแล้วต้องใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

 

5.  ตัวฉันเองยังไม่เห็นจะสน Mobile Ads  ผู้บริโภคของฉันก็คงไม่ต่างกัน ? 

จากกลุ่มตัวอย่างบางคนก็คงจะเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรได้ไม่มากนัก   การพิจารณาเรื่องโฆษณาผ่านดิจิตอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ Mobile Device ควรมีการอ้างอิงจากข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง    สำหรับ Smartphone และ Tablet จะเห็นได้ว่าการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในระดับที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบ่งบอกได้ถึง Brand Recall และ Purchase Intent  ที่บางครั้งมีมากกว่าช่องทางเดิมๆอย่างจอคอมพิวเตอร์ ถึง 2-4 เท่า

 

6. Mobile ads ยังไม่น่าสนใจและดึงดูดผู้บริโภคเพียงพอ

มีการอ้างว่า Mobile Device ไม่ใช่ช่องทางที่ได้รับการให้ความสนใจมากพอสำหรับการโฆษณา แต่ข้อมูลจาก AMPL ระบุว่า 54% ของชาวออสเตรเลียกลับให้ความสนใจกับ Mobile Ads   สำหรับบางคนอาจคิดว่า Mobile Ads แบบนิ่งๆ และ แบบข้อความง่ายๆทื่อๆ ยังคงไม่มีประสิทธิภาพมากพอเมื่อเทียบกับโฆษณาบนเว็บไซต์   แต่ที่จริงแล้ว Mobile Ads สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับคอนเท้นท์  ตัวอย่าง  Rich-media หรือ วีดีโอต่างๆ  ซึ่ง Smartphone และ Tablet ถือเป็นช่องทางที่เหมาะสมสำหรับคอนเท้นท์ดังกล่าว  จึงทำให้ โฆษณาทาง Mobile Device  นั้นมีประสิทธิภาพมากทีเดียว

 

7. ลูกเล่นบน Mobile Device ยังมีไม่มากพอ

ขนาด หรือ ไซส์ คงไม่สำคัญอีกต่อไป สำหรับ Mobile Device  เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยน ปรับขนาดได้ตลอดเวลา  อีกทั้ง หน้อจอของอุปกรณ์ก็ยังถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และัอีกทั้ง Mobile Device ก็แตกแขนงออกมามากขึ้น   ดังนั้นสิ่งสำคัญ  คือ  คุณต้องเข้าถึงผู้บริโภคด้วยข้อความที่ง่ายๆ และเนียน  ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Mobile อยู่แล้ว  ถ้าหากคุณลองโฆษณาบน Mobile  คุณจะยิ่งประทับใจความสำเร็จที่ได้จากความคิดสร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อจาก  Mobile Ads

 

8. Third Party ที่ตรวจสอบวัดผลยังไม่รองรับ Mobile

ในช่วงก่อนหน้านี้บริษัทบางส่วนยังไม่ได้มีการให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและวัดผล  Mobile Ads เท่าไรนัก  แต่ขณะนี้มี Third Party หลายรายเริ่มตรวจสอบและวัดผล  Mobile Ads อย่างจริงจังไปพร้อมๆกับการวัดผลโฆษณาผ่านสื่อดั้งเดิม   เพราะฉะนั้นหาก Third Party ของคุณยังไม่มีบริการ Mobile  เตรียมหาเจ้าใหม่ได้เลย   นอกจากนี้การทำ Benchmark เปรียบเทียบประสิทธิภาพ Mobile Ads ก็เป็นที่ทางหนึ่งที่จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังประสบความสำเร็จกับ  Mobile Advertising

 

9. คู่แข่งยังไม่ทำ Mobile  แล้วทำไมเราต้องทำล่ะ ?

จากผู้ชนะจากเทศกาลโฆษณา Cannes Lions 2012  คุณจะเห็นได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทกำลังใช้ Mobile Ads เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคของพวกเขา ตัวอย่างเช่น แคมเปญ Reimagined hilltop ของ Coca-Cola ได้รับรางวัลในสาขา Mobile ด้วยข้อความที่ว่า ‘S
end someone a free Coke’ ที่สร้างการดึงดูดผู้ใช้ผ่านทาง  Mobile Banner เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น เห็นได้ว่าแทนที่จะกังวลว่าคู่แข่งกำลังทำอะไร  ควรจะเปลี่ยนมาเป็นผู้นำ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก Mobile Device จะดีกว่า

 

10. ในเมื่อแบบเก่าก็ใช้งานได้ดี ทำไมต้องไปปรับเปลี่ยน แก้ไขมันด้วย ?

ความไม่กระตือรือร้นถือเป็นคุณสมบัติที่ชัดเจนของชาวออสเตรเลีย แต่พฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่แย่สำหรับการรับรู้ concept ของการโฆษณาผ่าน  Mobile    แม้หลายธุรกิจยังสามารถพูดได้ว่า แค่ใช้เพียงโฆษณา TV หรือ สื่อดิจิตอล ธุรกิจก็สามารถดำเนินไปได้ด้วยดีแล้ว   อย่างไรก็ตามด้วยธรรมชาติของการโฆษณาในปัจจุบันที่แตกแขนงออกมามากมาย  การเข้าถึงผู้บริโภคด้วยหลายๆจอจะเป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

ที่มา :  Marketingmg


แชร์ :

You may also like