
ความเห็นของเขาได้รับการเผยแพร่ผ่านนิวยอร์กไทม์ โดยใช้คำว่า It’s time to break up Facebook และยังระบุว่า Mark Zuckerberg กลายเป็นบุคคลที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ และอำนาจที่ Mark มีนั้นอาจเหนือกว่าหน่วยงานภาครัฐมีด้วยซ้ำ เขาจึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่จะยุติความยิ่งใหญ่ของ Facebook ในลักษณะนี้
“Mark เป็นคนดี แต่ผมไม่พอใจเลยที่เขาเอาแต่โฟกัสไปที่การเติบโตของ Facebook มากเสียจนยอมแลกประเด็นด้านซีเคียวริตี้กับยอดคลิก”
“ผมเองก็ผิดหวังมาก ๆ ที่ทีมงานในยุคก่อตั้งไม่ได้คิดมากพอว่าอัลกอริธึมของ News Feed นั้นจะสามารถเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของเราไปได้ แถมยังไปมีผลกับการเลือกตั้ง และทำให้เกิดความแตกแยกภายในประเทศด้วย” Hughes กล่าว
“แต่ที่ผมกังวลที่สุดก็คือ คนที่อยู่รอบตัว Mark มีแต่คนที่ไม่ยอมเตือน หรือช่วยเขาประเมินสถานการณ์อย่างถูกต้องเลย ตรงกันข้ามมีแต่คนที่จะกระตุ้นให้เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น”
สำหรับ Chris Hughes ต้องบอกว่าเขาเป็นคนดังในวงการเทคโนโลยีรายล่าสุดที่ออกมาเรียกร้องให้มีการกำกับดูแล Facebook และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ หลังจากมีปัญหาด้านการรั่วไหลของข้อมูล การแทรกแซงการเลือกตั้ง และการใช้แพลตฟอร์มไปกับการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดในสังคม
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ Zuckerberg ก็เคยส่งสัญญาณออกมาเช่นกันว่าเขาเปิดรับการกำกับดูแลจากภาครัฐ แต่ไม่แน่ว่านี่เป็นสัญญาณที่มากพอสำหรับ Chris Hughes หรือไม่ เพราะเขามองว่ารัฐบาลสหรัฐฯควรมีการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาสำหรับกำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่า อำนาจที่ควรจะมีของประเทศนั้นไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของใครคนใดคนหนึ่งโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
หลังจากมีบทความดังกล่าวเผยแพร่ออกมา ทาง Facebook ก็ตอบโต้ทันควัน Nick Clegg รองผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของ Facebook กล่าวว่า “เฟซบุ๊กยอมรับว่าความสำเร็จมาพร้อมกับความรับผิดชอบ แต่คุณต้องไม่เรียกร้องความรับผิดชอบโดยบอกให้คนเลิกใช้งานแยกทางจากบริษัทอเมริกันที่ประสบความสำเร็จ”
“ความน่าเชื่อถือของ Tech Company เกิดขึ้นจากความอุตสาหะเพื่อแนะนำกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ Mark Zuckerberg เรียร้อง เขากำลังประชุมกับผู้นำในหน่วยงานรัฐบาลเพื่อทำงานในเรื่องนี้”




