HomeSponsoredผ่ากลยุทธ์ GWM สู่ Top 3 รถยนต์ไฟฟ้าในไทย พร้อมหนุนไทยเป็นฮับ xEV ในภูมิภาคอาเซียน

ผ่ากลยุทธ์ GWM สู่ Top 3 รถยนต์ไฟฟ้าในไทย พร้อมหนุนไทยเป็นฮับ xEV ในภูมิภาคอาเซียน

แชร์ :

กลายเป็นที่จับตามองทันที หลังจากที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ประกาศตั้งเป้า ก้าวขึ้นสู่ Top 3 ผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าในไทยภายในปี 2569 ในขณะที่มีผู้เล่นในตลาดกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไม่น้อยกว่า 20 แบรนด์ ทำไมบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เข้ามาปลุกกระแสรถยนต์ไฟฟ้าในไทย จึงมั่นใจว่านับจากนี้อีกภายใน 3 ปีจะยึดตำแหน่งแถวหน้าในวงการนี้ที่ตอนนี้กลายเป็นสนามการแข่งขันที่ร้อนแรงที่สุดในยุคนี้

ก่อนเจาะแผนที่จะทำให้แบรนด์ไปถึงเป้าใหญ่ได้ ย้อนดูความสำเร็จของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เมื่อปี 2022 ยอดขายในไทยสูงถึง 12,840 โดย ORA Good Cat รุ่นเรือธงของแบรนด์ขึ้นแท่นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนสูงที่สุด แถมยังเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าถึง 4 รุ่น (HAVAL JOLION Sport, GWM TANK 500, GWM TANK 300, ORA 07) เป็นไปตามเป้าที่บริษัทฯ เคยลั่นไว้ชัดเจนว่าจะทำ Mission 9 in 3 หรือเปิดตัวรถให้ได้ 9 รุ่น ภายใน 3 ปี

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

การไต่ขึ้นมาจนมียอดขายนับหมื่นคันภายในปีเดียว ไม่ได้มาเพราะกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเท่านั้น แต่เกิดจากการเดินเกมการตลาดของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ รอบด้าน 360 องศามาตลอด 3 ปีที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย โดยยึดให้ความสำคัญกับผู้บริโภค/ผู้ใช้งานเป็นหลัก (User-centric) ทั้งการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าทุกรูปแบบที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและนวัตกรรมขั้นสูงให้กับชาวไทย ทั้ง HEV, PHEV และ BEV เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการที่หลากหลาย หรือแม้แต่การสร้างมิติการขายแบบใหม่ในรูปแบบ นโยบายราคาเดียว (One Price Policy) รวมไปถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้บริการหลังการขายต่างๆ ที่ผสานระหว่างออนไลน์ และออฟไลน์ได้อย่างตรงไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคใหม่

กลับมามองที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีนี้กันบ้าง เชื่อว่ายังขยายโตไปได้อีกมาก เพราะได้แรงหนุนจากภาครัฐอย่างลดภาษี และเหล่าบรรดารถยนต์ไฟฟ้าก็พร้อมอัดแคมเปญเปิดตัวรุ่นใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า โดยล่าสุดทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ายอดขายในประเทศของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า(xEV) ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่ารถยนต์ BEV และ HEV&PHEV น่าจะมีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่งในไทยเพิ่มขึ้น ไปสู่15% และ 16% ตามลำดับในขณะที่ทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเมินยอดขายกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) มียอดขายไม่น้อยกว่า 130,000 คัน เพิ่มขึ้นเกือบ 70% จากปี 2566  หรือคิดเป็นสัดส่วน 16% ของภาพรวมยอดขายตลาดรถยนต์ไทยที่ราว 820,000 คัน โดยการดำเนินธุรกิจในปีที่ 4 ของบริษัทฯ ได้วางเป้าหมายใหญ่เพื่อขึ้นสู่การเป็น TOP3 ภายใน 3 ปีจากนี้ พร้อมเพิ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ครบทั้งสิ้น 15 รุ่น ภายในปี 2568 โดยได้เตรียมใช้ 3 กลยุทธ์พิชิตตลาดหวังสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 25,000 คัน ท่ามกลางอุณหภูมิเดือดปีนี้

กลยุทธ์แรกคือ ผลิตภัณฑ์ โดยเตรียมเปิดอีกรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 3 รุ่น และวางแผนที่จะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เป็น SUV รวมถึงเดินหน้าศึกษาการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับสูง เช่น Hi-4 และ Coffee Intelligence System มาพัฒนาร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะแนะนำสู่ตลาดไทยในอนาคต ถัดมาคือ การขาย การจัดจำหน่าย พัฒนาทำทุกอย่างใต้แนวคิดยึด User-centric และจะเดินหน้าต่อยอดธุรกิจฟลีทในกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการต่อยอดธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว (GWM Certified Pre-Owned) พร้อมขยายเครือข่าย Partner Store ให้ครบ 101 ทั่วประเทศ และขยายสถานีชาร์จ ให้ครบ 55 แห่ง สุดท้ายคือ บริการหลังการขาย ยกระดับการให้บริการลูกค้าด้วยเทคโนโลยีอย่าง GWM Smart Service ขยายพื้นที่คลังอะไหล่เพื่อจัดส่งได้เร็วขึ้น เปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่ เพื่อให้บริการถูกต้องตามมาตรฐานสากล มอบแพ็คเกจการบำรุงรักษาตามระยะทาง ฟรี ทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่ มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ทั้งตั้ง EV Battery Rapid Team ให้คำแนะนำ ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่หลังเกิดอุบัติเหตุ และ GWM BATTERY HOTLINE สายด่วนรับแจ้งปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่และการเคลม ตลอด 24 ชั่วโมง

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เกรท วอลล์ มอเตอร์ ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอย่างมากตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา และยังคงยึดมั่นที่จะมอบผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ที่ดีที่ใหม่ให้แก่ผู้บริโภคไทยตลอดไป

ในขณะที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ แข็งแกร่งในตลาดไทยเรื่อยๆ ในเวทีระดับโลก ก็ได้รับการยอมรับในฐานะ Global Intelligent Technology Company โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving) ควบคู่กับการขยายเครือข่ายการลงทุนในภูมิภาคต่างๆ รอบโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปเอเชีย ตามกลยุทธ์ “Ecological Go-Abroad” ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ

ปัจจุบันมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและการขาย กว่า 700 สาขา ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศทั่วโลก มีโรงงานการผลิตรวมกว่า 13 แห่ง และอีก 3 แห่งที่อยู่นอกประเทศจีนคือ ไทย บราซิล และรัสเซีย แถมปีที่ผ่านมาได้ตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ใหม่ขึ้นที่ ปากีสถาน และเอกวาดอร์และกำลังเริ่มโครงการใหม่ที่มาเลเซียด้วย สำหรับยอดขายเฉพาะปีที่แล้วมียอดขายรถยนต์ไปทั่วโลกกว่า 1.23 ล้านคัน เพิ่มขึ้นกว่า 15 % เมื่อเทียบกับปีก่อนถ้าหันกลับมามองเฉพาะในตลาดภูมิภาคอาเซียน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถือเป็นแบรนด์แรกๆ ในกลุ่มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถเข้ามาบุกตลาดภูมิภาคอาเซียนได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมใน 9 ประเทศ มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม กัมพูชา รวมถึงไทยด้วย

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า(xEV) ในไทย เติบโตขึ้นอย่างร้อนแรง เพราะภาครัฐหนุนเรื่องนี้เต็มที่ ทั้งกระตุ้นให้เกิดการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย วางมาตรการส่งเสริมให้เกิดการการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการเป็นฐานการผลิต และส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของภูมิภาค (xEV Hub)

ที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์  จึงให้ความสำคัญกับตลาดไทยอย่างมาก โดยตั้งเป้าหมายสร้างแบรนด์ปั้นยอดขายให้ติด TOP 3 ภายใน 3 ปีข้างหน้า พร้อมมุ่งมั่นเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในระดับอาเซียน โดยร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐอย่างรอบด้าน ผ่านยุทธศาสตร์ “IN THAILAND FOR THAILAND” ที่ตั้งใจพัฒนาสังคมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยให้เติบโต ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ปลอดภัย และส่งเสริมการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั่นเอง

โดยหากไล่เรียงดูสิ่งที่บริษัทฯ ทำล้วนแต่สอดรับกับความเป็นจริงของการส่งเสริมของภาครัฐ ซึ่งล้วนสะท้อนว่าแบรนด์จีนรายนี้มีความตั้งใจที่จะร่วมพัฒนาเติบโตไปกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างตรงไปตรงมา และทำให้เกิดความยั่งยืนจริงๆ

ซึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์  ถือเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแรกๆ ที่ร่วมลงนามกับภาครัฐหลายภาคส่วน เพื่อผนึกกำลังส่งเสริมให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลักดันไทยก้าวสู่การเป็นฐานผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค อย่าง การร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เข้าร่วมในมาตรการ EV 3.0 มาตั้งแต่ต้น พร้อมยืนหยัดให้ความร่วมมือใน เฟส 2  EV 3.5 (พ.ศ.2567 – 2570) ล่าสุดได้ร่วมลงนามข้อตกลงการรับสิทธิ์ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ ซึ่ง ORA 07 ทั้ง 2 รุ่นย่อย อย่าง LONG RANGE และรุ่น PERFORMANCE ที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว จึงจะไม่มีการปรับขึ้นราคาอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นการตั้งบริษัทลูกอย่าง โรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) สร้างโรงงานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า New GWM ORA Good Cat ที่จ.ระยอง ซึ่งถือเป็นรถ EV แบรนด์จีนรายแรกที่ประกอบในไทยซึ่งสอดรับกับนโยบายการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ (ZEV 3.0) เท่ากับว่าจะเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออกไปยังภูมิภาค หรือการทลายข้อกังวลใหญ่เรื่องแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการจับมือกับ พันธมิตรในเครืออย่าง เอสโวลต์  (SVOLT Energy) เปิดสายงานการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมา โดยแบตเตอรี่จาก เอสโวลต์ จะใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่นของ เกรท วอลล์  มอเตอร์ ได้ตั้งแต่ช่วงมีนาคม 2567 นี้เป็นต้นไปหรือการจับมือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตอกย้ำให้เห็นว่าไทยเดินหน้าสู่การเป็นธรรมาภิบาลคาร์บอน โดยแบรนด์ร่วมใช้มิติของการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ผ่านยานยนต์ไฟฟ้า สร้างมูลค่าเพิ่มกระตุ้นให้เกิดการเที่ยวใน 5 เส้นทาง 5 ภูมิภาค กระจายรายได้สู่จังหวัดสำคัญในภูมิภาคต่างๆ

ทั้งการตั้งโรงงานขนาดใหญ่ทั้งสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่  การนำยานยนต์ไฟฟ้ามากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ล้วนส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทั้งระบบนิเวศ เกิดการจ้างงาน และการเพิ่มทักษะในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เกิดความเชี่ยวชาญ รวมถึงกระตุ้นภาคประชาชนหันมาให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ ในช่วงที่ผ่านมา ล้วนช่วยให้ไทยขยับใกล้การเป็นผู้นำทางด้านยานยนต์ไฟฟ้าในระดับอาเซียน และมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้นในอนาคต เพราะเทรนด์ของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยจากผลสำรวจศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS พบว่าตลาดโลกก็มีการนำเข้ารถยนต์ BEV, HEV,PHEV รวมกันเพิ่มขึ้น โดยใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 พบว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 15% ของการนำเข้ารถยนต์รวมทั้งหมดทั่วโลก จากระดับ 5% เมื่อ 5 ปีก่อน การเข้ามาของในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในไทยครั้งนี้ เชื่อว่าด้วยการลงทุนของบริษัทฯ ในมิติต่างๆ จะช่วยขับเคลื่อนให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน และมีโอกาสทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าส่งออกไปทั่วโลกได้มากขึ้นอย่างแน่นอน


แชร์ :

You may also like