การพัฒนารถยนต์ EV อย่างจริงจังของ BYD เห็นผลแล้ว เพราะในที่สุด BYD ก็ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ EV ที่สามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ Pure EV ได้มากที่สุดในโลก แซงหน้า Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังเรียบร้อยในไตรมาส 4 ของปี 2023
นิยามที่เปลี่ยนไปของ BYD มาจากการเปิดเผยตัวเลขการส่งมอบรถของ BYD ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 ที่ทำได้สูงถึง 526,409 คัน (ตุลาคม – ธันวาคม) หรือเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับตัวเลขในไตรมาส 3 ของบริษัทเลยทีเดียว ส่วน Tesla นั้น บริษัทระบุว่า สามารถส่งมอบรถได้ 484,507 คันในไตรมาส 4 หรือน้อยกว่า BYD ถึง 41,902 คัน
เกา เฉิน (Gao Chen) นักวิเคราะห์อิสระจากเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า การเติบโตที่รวดเร็วของ BYD ได้อานิสงส์จากความต้องการรถยนต์ EV ที่พุ่งสูงในประเทศจีน ซึ่งการเติบโตนี้จะสร้างให้จีนเป็นผู้นำระดับโลกในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจยานยนต์ นอกจากนั้น ข้อมูลจาก South China Morning Post ระบุว่า จีนครองส่วนแบ่งตลาด EV โลกเอาไว้มากถึง 60% โดยมีสถิติว่า รถยนต์ที่ขายในจีนนั้น 2 ใน 5 คันคือรถยนต์ EV เลยทีเดียว
การเติบโตแบบพุ่งพรวดของ BYD ยังทำให้ถูกจับตาในฐานะแบรนด์ที่ประเทศจีนจะให้การสนับสนุนภายใต้กลยุทธ์ “Made in China 2025” ด้วย โดยในแผนดังกล่าวระบุว่า จะมีการสนับสนุนบริษัทผู้ผลิตรถ EV สองรายในการสร้างยอดขายในต่างประเทศให้ได้ 10% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2025 ซึ่งคาดการณ์กันว่า หนึ่งในสองผู้ผลิตรถยนต์ก็คือ BYD นั่นเอง
นอกจากนี้ ธนาคาร UBS ยังมีบทวิเคราะห์เกี่ยวกับรถยนต์รุ่น Seal ของ BYD ว่าสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า Tesla Model 3 ถึง 15% และในการทำตลาดที่สหภาพยุโรป รถยนต์รุ่นดังกล่าวก็ยังมีการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งถึง 25% แม้จะเจอกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากชาติตะวันตกก็ตาม โดย UBS คาดการณ์ด้วยว่า ความสามารถที่เหนือกว่าของบริษัทผู้ผลิตจีนจะทำให้พวกเขาครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ EV มากถึง 33% ได้ภายในปี 2030 เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มีส่วนแบ่งแค่ 17%