อุตสาหกรรมหนังในช่วง 2 ปีโควิด ปี 2563-2564 หดตัวรุนแรง จากตลาดรวมมูลค่า 4,600 ล้านบาทก่อนโควิด ลดลงไปเหลือ 1,000 ล้านบาท แต่สัญญาณปีก่อนเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว ปี 2566 GDH ค่ายหนัง feel good กลับมาลุยเต็มที่ 4 เรื่อง พร้อมโปรเจกต์พิเศษ ครบรอบ 20 ปี หนัง “แฟนฉัน” เตรียมเข้าโรงให้ชมกันอีกครั้งด้วยระบบ 4K
ย้อนดูตัวเลขอุตสาหกรรมหลังก่อนและหลังโควิด
– ปี 2562 ก่อนโควิดมีรายได้รวม 4,600 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 3,900 ล้านบาท หนังไทย 700 ล้านบาท (45 เรื่อง)
– ปี 2563 ช่วงโควิดรายได้รวมลดลงเหลือ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 700 ล้านบาท หนังไทย 300 ล้านบาท (28 เรื่อง)
– ปี 2564 ช่วงโควิดรายได้รวม 1,100 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 900 ล้านบาท หนังไทย 182 ล้านบาท (18 เรื่อง)
– ปี 2565 โควิดคลี่คลาย รายได้รวม 2,128 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 1,700 ล้านบาท หนังไทย 414 ล้านบาท (40 เรื่อง)
ปี 2566 คาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมหนังรายได้เกิน 3,000 ล้านบาท โดยหนังไทยน่าจะมีจำนวน 45 เรื่องเท่าก่อนโควิด คาดว่าจะทำรายได้ 700-800 ล้านบาท ส่วนตลาดหนังต่างประเทศฟื้นตัวกลับมาแล้ว อย่างในสหรัฐฯ ปีที่ผ่านมาผู้ชมกลับมาแล้ว 60% และจะมากขึ้นในปีนี้
GDH เปิดไลน์อัพหนัง 4 เรื่อง
คุณจินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด กล่าวว่าปี 2565 GDH ทำรายได้รวมถึง 504 ล้านบาท เติบโต 95% จากปีก่อนหน้า จากหนัง “บุพเพสันนิวาส ๒” ที่ร่วมทุนกับ “บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น” ทำรายได้ในเมืองไทย 392 ล้านบาท และขึ้นแท่นหนังไทยทำเงินสูงสุดตลอดกาลที่เวียดนาม ด้วยรายได้ 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
จากสัญญาณฟื้นตัวของอุตสาหกรรมหนัง ปี 2566 GDH จึงกลับสู่ปกติกับการทำหนังและออกฉายปีละ 4 เรื่อง ดังนี้
1. “เธอกับฉันกับฉัน” เข้าโรงหนังช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ทำรายได้ทั่วประเทศ 60 ล้านบาท เป็นหนังที่กระแสตอบรับดี ขณะนี้กำลังทำตลาดและขายอยู่ในงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ
2. “บ้านเช่า..บูชายัญ” เป็นหนังผีเขย่าขวัญ เรื่องนี้ร่วมทุนกับ “เอ็นเอท สตูดิโอ” เพื่อผนึกกำลังการจัดจำหน่ายหนังไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหญ่ที่มีคนดูจำนวนมากอย่างสหรัฐฯ ละตินอเมริกา ยุโรป โดยจะเข้าฉายในเมืองไทย วันที่ 6 เมษายนนี้
3. “เพื่อน(ไม่)สนิท” หนังรักวัยรุ่น GDH ร่วมทุนกับ Houseton Films โดยมี “บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ” เป็นโปรดิวเซอร์ เข้าโรงหนังเดือนพฤศจิกายน
4. Project D (Working Title) หนัง LGBT ที่เป็นความท้าทายใหม่ของ GDH กับหนังสะท้อนสังคม โดยมี “บอส-นฤเบศ กูโน” เป็นผู้กำกับ นำแสดงโดย พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และอิงฟ้า วราหะ ที่มาร่วมงานกันครั้งแรก เข้าโรงหนังช่วงปลายปี
นอกจากนี้ยังมีซีรีส์เรื่อง DELETE ผลงานเรื่องแรกที่ร่วมพัฒนากับ Netflix กำกับและโปรดิวซ์โดย โอ๋-ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ จากผลงานเรื่อง HOMESTAY เพื่อขยายฐานคนดูให้กว้างขึ้น
รวมทั้งโปรเจกต์ GDH Fun Fest รูปแบบเฟสติวัล สำหรับแฟนหนัง ซีรีส์ จัดเป็นอีเวนท์ใหญ่ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 2567
20ปี “แฟนฉัน” รีมาสเตอร์ระบบ 4K เข้าฉายโรง
โปรเจกต์พิเศษในเดือนตุลาคมนี้ วาระครบรอบ 20 ปี หนัง “แฟนฉัน” ที่เคยออกฉายในปี 2546 โดยจะ “รีมาสเตอร์” หนังใหม่ให้เป็นภาพระบบ 4K และเพิ่มฉากพิเศษในตอนท้าย โดยจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้งเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้แฟนๆ ของหนังเรื่องนี้มาระลึกถึง “เจี๊ยบและน้อยหน่า” กันอีกครั้ง รวมทั้งเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ในโรง แม้จะเคยรับชมผ่านช่องทางอื่น แต่เชื่อว่าหนังต้องดูในโรงภาพยนตร์ เพราะได้อรรถรส ภาพ เสียง แตกต่างจากดูสตรีมมิ่ง
“ในปี 2546 ที่หนังแฟนฉัน ออกฉาย ทำรายได้ในกรุงเทพฯ 130 ล้านบาท รวมทั่วประเทศ 300-400 ล้านบาท (ขณะนั้นราคาตั๋ว 80 บาท) การนำมารีมาสเตอร์ใหม่ในปี 2566 และออกฉายในโรง หวังให้คนที่เคยดูกลับมาระลึกความหลังอีกครั้ง ส่วนเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยดูในโรงมาก่อน ก็มีโอกาสได้ดูด้วย”
นอกจากนี้ 6 ผู้กำกับแฟนฉัน จะทำ Documentary พาย้อนชมปรากฏการณ์ “แฟนฉัน” และเรื่องราวพิเศษของหนังเรื่องนี้
รวมทั้ง “ซีเนริโอ” ได้นำบทของหนังแฟนฉันไปทำละครเวทีเวอร์ชั่น “แฟนฉัน 1.5 เดอะมิวสิคัล” (คือบทยังเป็นเวอร์ชั่นเก่าภาค 1 แต่ทำเป็นละครเวที จึงเรียกว่า แฟนฉัน 1.5) เปิดให้ชมในเดือนธันวาคมนี้
ชูกลยุทธ์เจาะตลาดโลกโกยรายได้
โมเดลธุรกิจของ GDH มีรายได้จาก 4 ช่องทาง
1. รายได้ตั๋วหนังในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ เป็นรายได้หลัก 30% (ก่อนโควิดกลุ่มนี้มีสัดส่วน 50%)
2. การนำหนังไปฉายทุกวินโดว์ รวมทั้งในโรงภาพยนตร์ต่างประเทศ มีทั้งรูปแบบส่วนแบ่งรายได้และขายสิทธิ
3. การขายลิขสิทธิ์หนังเพื่อไปเผยแพร่ในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ทีวีดิจิทัล แอปสตรีมมิ่ง
4. การจัดจำหน่ายหนังและการโปรโมทให้กับค่ายหนังอื่นๆ
หลังจากปีก่อนประสบความสำเร็จโปรเจกต์ร่วมทุนทำหนัง “บุพเพสันนิวาส ๒” ทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ กลยุทธ์ของ GDH หลังจากนี้จะเน้นโปรเจกต์ร่วมทุนมากขึ้น เพื่อสร้างหนังที่สามารถทำตลาดเข้าฉายในโรงทั้งไทยและต่างประเทศได้มากขึ้น เพราะรายได้หลักของหนัง คือการขายตั๋วชมในโรงภาพยนตร์ อย่างหนัง “ฉลาดเกมส์โกง” ที่ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในจีน ทำรายได้ไปกว่า 1,000 ล้านบาท
การทำตลาดเดิมเมื่อหนังเข้าโรงภาพยนตร์ในไทย กว่าหนังจะออกไปทำตลาดฉายในโรงหนังต่างประเทศ ต้องรอเวลาระยะหนึ่ง แต่หลังจากนี้ GDH จะทำตลาดไทยและต่างประเทศไปพร้อมกัน เพื่อให้หนังออกฉายในโรงต่างประเทศพร้อมไทย เพราะเมื่อหนังมีกระแสดีจากในประเทศ ส่วนใหญ่จะได้รับความนิยมในต่างประเทศด้วย และเป็นโอกาสที่ GDH จะสร้างรายได้จากยอดขายตั๋วหนังมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านรอบประเทศไทย
ปีนี้วางเป้าหมายรายได้รวมทุกช่องทางไว้ที่ 510 ล้านบาท ภายใน 1-2 ปีนี้อยากเห็นตัวเลขรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท