HomeBrand Move !!พลัง “ลิซ่า BLACKPINK” พา “เดนทิสเต้” โกอินเตอร์ มาร์เก็ตแชร์พุ่งทุกตลาด จนต้องตั้งโรงงาน ตปท.

พลัง “ลิซ่า BLACKPINK” พา “เดนทิสเต้” โกอินเตอร์ มาร์เก็ตแชร์พุ่งทุกตลาด จนต้องตั้งโรงงาน ตปท.

แชร์ :

ปรากฏการณ์ “ลิซ่า BLACKPINK”  ฟีเวอร์ กลายเป็นกระแสไปทั่วโลกตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังการคัมแบ็คของ 4 สาว BLACKPINK ที่กำลังทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกในขณะนี้ ทำให้หลายแบรนด์จับจ้องที่จะคว้าตัวสมาชิกคนดังเข้ามาร่วมงาน โดยเฉพาะ “ลิซ่า BLACKPINK” เจ้าของฉายา “เจ้าแม่ Sold Out” ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เข้ามาเป็นตัวแทนในการสื่อสารแบรนด์ เพื่อเพิ่มยอดขายพร้อมสร้างภาพลักษณ์ไปในตัว

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

โดยหนึ่งในแบรนด์ไทยอย่าง “เดนทิสเต้”  ที่ก่อตั้งโดย “เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์กรุ๊ป ผู้ผลิตเดนทิสเต้ และสมูทอี  ก็กลายเป็นเสือปืนไวคว้าตัว “ลิซ่า” เข้าสู่ครอบครัว “เดนทิสเต้” มาเป็น Brand Ambassador  ได้ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์เพื่อเจาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z มากขึ้น ทดแทนภาพจำเดิมของแบรนด์ที่เดนทิสเต้คือยาสีฟันที่ใช้แปรงก่อนนอนเพื่อลดกลิ่นปากที่มี “ชมพู่-อารยา และน็อต- วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์” เป็น Brand Ambassador นานถึง 6 ปี

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์กรุ๊ปกล่าวว่า  การที่ลงทุนกับ “ลิซ่า” ถือเป็นเรื่องการลงทุนแบรนด์ดิ้งที่ชัดเจน และได้ผลตอบรับกลับมามหาศาล เราจะไปที่ไหน คน (กลุ่มเป้าหมาย) ก็ต้อนรับในทุกที่ๆไป เป็นการเปิดโอกาสทางการตลาดในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี  ซึ่งการเข้ามาของ “ลิซ่า” มีผลดีต่อแบรนด์ทั้งในแง่ยอดขายที่สูงขึ้น มาร์เก็ตแชร์ที่สูงขึ้นในแต่ละประเทศ  สินค้าของบริษัทเติบโตขึ้นทุกแคททริกอรี่ แม้แต่ช่วงโควิดที่หลายธุรกิจต้องเผชิญปัญหาด้านยอดขาย แต่แบรนด์ก็สามารถฝ่าฟันมาได้ ดังนั้นตลอดช่วงที่ลิซ่าเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ได้ทั้งเรื่องของแบรนด์ดิ้ง ยอดขายจึงมากเป็นเท่าตัว

ทั้งนี้หลังปี 2565 “เดนทิสเต้” ได้ต่อสัญญาใหม่กับ ลิซ่า BLACKPINK ให้เป็น Brand Ambassador เป็นปีที่ 2  แน่นอนว่าความดังที่เพิ่มขึ้นของ “ลิซ่า” ทำให้ค่าตัวการต่อสัญญาครั้งที่ 2 นี้ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น 100% จากปีก่อน แต่กลับเป็นการลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลที่คุ้มค่าเกินกว่าจะวัดเพียงเรื่องของยอดขายเพียงอย่างเดียว

 

“มีคนถามว่า ทำไมเราถึงทุ่มเทเงินมหาศาลในการดึงลิซ่า มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งจะให้ตอบตามหลักเลยคือ การใช้ลิซ่า เราไม่ได้เป็นคนจ่ายเงินเลย แต่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจาก “แบรนด์ลิซ่า” จะเป็นคนจ่ายแทน เพราะฉะนั้นหากยอดขายเพิ่มขึ้น 100 ล้านบาท หรือมีกำไร 200 ล้านบาท ก็เอายอดขายนั้นมาจ่ายก็จบ…เพราะการเข้ามาของ “ลิซ่า” มีผลดีต่อแบรนด์ทั้งยอดขาย-มาร์เก็ตแชร์สูงขึ้นทุกประเทศ และสินค้าก็ยอดขึ้นทุกแคททริกอรี่” เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กล่าวถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่มีลิซ่า BLACKPINK เข้ามาเป็น Brand Ambassador

 

ขณะเดียวกันยังลดการใช้สื่อลงเป็นจำนวนมาก จากปกติที่บริษัทต้องใช้สื่อ 80 ล้านบาทต่อปี (โดยเฉลี่ย) ก็ลดเหลือ 30-40 ล้านบาทต่อปี 

“ถ้าคุณไปหาหมอฟันตอนนี้ จะพบลิซ่าอยู่ในคลินิกทันตแพทย์ ซึ่งเป็นปรากฏารณ์แรกของคลินิกในประเทศไทย ที่ทันตแพทย์เอาแสตนดี้ไปตั้งที่คลินิก เพราะลิซ่ามีฟันสวยมาก และถือเป็นยิ้มที่สวยที่สุด ซึ่งเป็นผลพลอยได้โดยที่แบรนด์ไม่ได้เสียเงินในการโปรโมต”

 

ลิซ่า BLACKPINK

ลิซ่า BLACKPINK Brand Ambassador เดนทิสเต้

 

กลยุทธ์ 10 Wow! สร้าง Emotional Marketing เพิ่มอำนาจการซื้อ

ทั้งนี้หากย้อนมาดูตลาดออรัลแคร์เมืองไทย พบว่า ตลาดออรัลแคร์กว่า 10,000 หมื่นล้านบาทในปัจจุบันเป็นตลาดที่ยังมีช่องว่างให้ได้เข้าไปทำอีกมาก เพราะปัจจุบันคนไทยฟันผุสูงถึง 98.5%  โดยช่วงที่คนไทยฟันผุมากที่สุดคือช่วง 5-10 ขวบ เพราะเด็กชื่นชอบการกินขนม และจะมีฟันผุมากขึ้นหลังอายุ 65 ปีเป็นต้นไป  ซึ่งคนไทยแปรงฟันเฉลี่ยวันละ 1-2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันเพียง 5% จากประชากรทั้งหมด ต่างจากคนญี่ปุ่น เกาหลี ที่แปรงฟันวันละ 3-4 ครั้ง ฉะนั้น ตลาดเมืองไทยถือว่ายังมีศักยภาพและช่องว่างอีกมาก

ขณะที่ผลการสำรวจของบริษัทจาก Gen Z และ Gen Y พบว่า อันดับ 1 ของสิ่งที่ลูกค้าเหล่านี้กังวลคือเรื่องของกลิ่นปากมาเป็นอันดับ 1 ทำให้ทางเดนทิสเต้นำอินไซต์เหล่านี้มาเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ในการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายใน Premium Segment นี้มากขึ้น

ด้วยการพัฒนาคุณภาพและพัฒนาขึ้นในทุกโปรดักต์ไลน์ที่เปิดตัวตัวใหม่ ภายใต้แนวคิด Marketing Wow ของเดนทิสเต้  กับโจทย์ 10 Wow (ว้าว 10 ข้อ) กล่าวคือ หากในปีนี้ไม่มีนวัตกรรม สินค้าใหม่ที่ทำให้รู้สึก ว้าว! ได้ครบ 10 อย่าง เดนทิสเต้จะไม่มีสินค้าใหม่ ต้องมีให้ครบ 10 ว้าว เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อของด้วยอารมณ์ แม้บางส่วนจะมีการใช้เหตุผลเข้ามาเพิ่มการตัดสินใจอยู่ด้วย แต่ Emotional Marketing ที่ทำให้คนรู้สึกร่วมด้วยคือสิ่งสำคัญ เป็นการช่วยเพิ่มการตัดสินใจซื้อ

เพราะในโลกการแข่งขันของ FMCG  หากสินค้าที่ออกไปแตกต่างจากสินค้าเดิมนิดหน่อย ผู้บริโภครู้สึกว้าวนิดเดียว ส่วนใหญ่มักจะไปไม่รอด ต่อให้ใช้เงินก็ต้องใช้เงินมาก ฉะนั้นกลยุทธ์ของเดนทิสเต้จากนี้จะมีสินค้าที่มีนวัตตกรรมเยอะมาก เช่น ยาสีฟันชนิดเม็ด เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมี DENTISTE’ Diamond ยาสีฟันจากผงเพชร เป็นนวัตกรรมใหม่ของการขัดฟัน มีคุณสมบัติช่วยให้ฟันขาวขึ้น และถือเป็นครั้งแรกในโลกที่นำเพชรมาผสมในยาสีฟัน จะมีขนาด 50 กรัม จำหน่ายราคาหลอดละ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่ละหลอดจะใส่เพชรบดละเอียดขนาด 1.2 กะรัต ผลิตแบบจำกัดจำนวนผลิต 1,000 หลอด เปิดจำหน่ายผ่านเว็บไซต์เดนทิสเต้พร้อมกันทั่วโลก โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศล โดยในไทยตั้งเป้ายอดขายเติบโตปีละ 1% ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ เพราะใน Niche Market การเติบโตปีละเท่านี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่มหาศาลแล้ว

 “ลิซ่า BLACKPINK” ใบเบิกทางสู่ตลาดอเมริกา-ยุโรป-เกาหลี-ญี่ปุ่น

นอกจากนี้อย่างที่หลายๆคนรู้กันดีว่า “ลิซ่า BLACKPINK” คือตัวแม่ราชินี K-Pop ที่ดังระดับโลก ดังนั้นเป้าหมายการทำตลาดของแบรนด์จึงไม่ใช่แค่การมัดใจสาวกในไทยเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงโอกาสทางการตลาดที่จะสร้างแบรนด์ไปไกลสู่ระดับโลก ที่ไม่ว่าจะเข้าประเทศไหนก็สามารถทำตลาดได้ง่าย  

โดยเฉพาะใน “สหรัฐอเมริกา” ซึ่งเป็นตลาดสุดหินของผลิตภัณฑ์ FMCG จากทั่วโลก โดยหลังจาก “เดนทิสเต้” มี “ลิซ่า” เป็น Brand Ambassador  แบรนด์ก็สามารถเข้าทำตลาดได้ง่ายมากขึ้น  เพราะกระแสเกาหลี K-Pop ในอเมริกามี Power สูงมาก ดังนั้นการมีลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็จะทำให้อะไรต่างๆง่ายขึ้น

 

“ในอเมริกา ถ้าอะไรที่เป็นลิซ่าเข้าไปจำหน่าย จะสามารถเติบโตได้เร็วมาก  เพราะกระแส K-pop และ “ลิซ่า BLACKPINK” ถือเป็นกระแสที่ชาวอเมริกันส่วนมากยอมรับ ซึ่งที่ผ่านมา สินค้า วัฒนธรรมเกาหลี ก็ได้รับการยอมรับจากอเมริกาเป็นอย่างดีมาตลอดอยู่แล้ว

 

อย่างไรก็ตามนอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว “เกาหลี-ญี่ปุ่น” ถือเป็นตลาดที่มีความยากและท้าทายของทางแบรนด์มาโดยตลอด  แต่หากจับจุดทางการตลาดได้ถูกทางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยาก โดยตลอดช่วงที่ผ่านมา เดนทิสเต้ประสบความสำเร็จในตลาดเกาหลีในเซกเมนต์ที่เป็น Niche Market ครองส่วนแบ่งการตลาด 12% เพิ่มขึ้นจากเดิม 10% ซึ่งถือว่าเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่สูงเมื่อเทียบกับโพซิชั่นของแบรนด์ในตลาดพรีเมี่ยม ซึ่งปกติการทำแบรนด์ในตลาด “Niche Market” การครองส่วนแบ่งการตลาดระหว่าง 6-8% ถือว่าเหมาะสมแล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ถึง 10% เมื่อนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะแบรนด์ไม่ได้แข่งใน Mass Market 

ดังนั้นจากนี้ไปแบรนด์จะมีแผนกคิดค้นนวัตกรรม ออกมาป้อนความต้องการเฉพาะและจะยังคงความเป็นพรีเมี่ยม  ไม่เน้นมาร์เก็ตแชร์แต่โฟกัสที่ภาพลักษณ์ คุณภาพ ราคา และมาร์จิ้นของสินค้าเป็นหลัก 

ส่วนในประเทศญี่ปุ่น แม้ในช่วงแรกเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมาของการเป็นแบรนด์ไทยที่เข้าไปทำตลาดจะค่อนข้างยาก โดยช่วงนั้นแบรนด์เปิดตลาด 1,500 เยน ขณะที่โลคัลแบรนด์ขาย 100-200 เยน นับเป็นความท้าทายในการทำตลาดอย่างมาก ดังนั้นต้องมีการนำ Emotional และพฤติกรรมผู้บริโภคในญี่ปุ่นมาเป็นตัวตั้งต้นสำคัญในการทำตลาด ซึ่งอินไซต์ของคนญี่ปุ่นคือ รักความสะอาดมาก ไม่ชอบกลิ่นเหม็น รวมถึงกลิ่นตัว กลิ่นปาก คนญี่ปุ่นแปรงฟันวันละ 3 ครั้ง และนั่นคือคีย์ที่เดนทิสเต้นำมาใช้ในการเจาะตลาดผ่านความเป็น  Love Toothpaste -Couple Toothpaste  แบรนด์จึง Outstanding ออกมา

ประกอบกับการมาของลิซ่า ที่มีฐานแฟนคลับค่อนข้างแน่นในญี่ปุ่นยิ่งทำให้แบรนด์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยช่วงโควิด 2 ปีที่ผ่านมา  Distributor ในญี่ปุ่นของเดนทิสเต้บอกว่า สินค้าทุกตัวที่นำเข้ามาทำตลาดยอดขายตกลงไปหมด ยกเว้นเดนทิสเต้ที่มียอดขายขึ้นเพียงตัวเดียว นั่นแสดงถึงพลังอำนาจแห่ง “ลิซ่า” หลังทำหน้าที่สื่อสารแบรนด์ได้ท่ามกลางสถานการณ์ของปัจจัยแวดล้อมที่ไม่ปกติ

 

เปิดฐานการผลิต “เยอรมนี-เกาหลี-ญี่ปุ่น-ไทย” ลุยตลาดโลก

ที่น่าสนใจคือการจะขยาย FMCG เข้าไปในต่างประเทศ นอกจากจะใช้ความเป็น “ลิซ่า BLACKPINK” เป็นใบเบิกทางในการกรุยตลาดให้ง่ายขึ้นแล้ว การบริหารจัดการภายในยังเป็นส่วนประกอบหลักของการสร้างการเติบโตที่ไม่ใช่เพียงอาศัยชื่อเสียงของ Brand Ambassador เท่านั้น

หากแต่ยังหมายถึงการบริหารจัดการของแบรนด์ให้สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงาน ล่าสุดจึงกางแผนการลงทุนด้านโรงงานใหม่ เพื่อให้สินค้าสามารถกระจายไปได้ การใช้ดิสบิวเตอร์จะไม่ค่อยคุ้มเนื่องจากในช่วง 3 ปีแรก ใช้เม็ดเงินค่อนข้างมากหากประเมินแล้วว่าโอกาสคุ้มทุนยาก ก็จะไม่มีใครอยากลงทุนต่อ ยกเว้นจะเข้าไปในรูปแบบร่วมทุน ( JV)  นี่คือความยากของการเข้าไปทำตลาด ทำให้ทางแบรนด์เริ่มมองหาฐานการผลิตใหม่ๆเพื่อป้อนแต่ละตลาดให้ตรงจุด รวมถึงลดขั้นตอนการขนส่ง และเป็นไปตามกฏหมายควบคุมของแต่ละประเทศ จึงทำให้ “เดนทิสเต้” กางแผนขยายการเติบโตในต่างประเทศมากขึ้น โดยแผนการลงทุนใหม่ ประกอบไปด้วย 4 ฐานการผลิต 1 สำนักงานใหม่ในต่างประเทศ ได้แก่ 

  • เกาหลี : เบื้องต้นขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อหาข้อสรุป โดยสินค้าจากโรงงานจะวางจำหน่ายในเกาหลี และส่งไปขายยังอเมริกาจะต้อง Made in Korea เพราะเป็นเรื่องของคุณภาพ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ขณะเดียวกันยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายของสหรัฐอเมริกาในการรองรับสินค้าที่เข้าไปทำตลาดจากประเทศเกาหลีอยู่แล้ว
  • ไทย : อยู่ระหว่างการจัดวางแผนงานเพื่อลงทุนเพิ่ม รองรับการเปิดประเทศและนักท่องเที่ยวเข้ามายอดขายเพิ่มอีก 200 ล้านบาท เพราะนักท่องเที่ยวนิยมหิ้วกลับบ้านและเป็นหนึ่งในของฝากของชาวเกาหลี
  • ญี่ปุ่น :เพื่อป้อนตลาดในญี่ปุ่น หลังเดนทิสเต้เข้าไปทำตลาด เมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จต่อเนื่อง
  • เยอรมนี : มีกำลังการผลิตวันละ 1 ล้านหลอด เพื่อส่งออกไปจำหน่ายในยุโรป ให้ได้สะดวกและเป็นไปตามมาตรฐานมากที่สุด
  • ไต้หวัน : เปิดสำนักงาน (Office) อย่างเป็นทางการเพื่อทำตลาดในประเทศใกล้เคียง

ทั้งหมดนี้ แม้จะมีบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล  จะพยายามเร่งให้จบภายในปีนี้ เบื้องต้นยังขาดเรื่องบุคลากร ซึ่งถ้าคนพร้อมเมื่อไหร่ก็เดินหน้าลุยได้ทันที

 

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล (ซ้ายมือ)

 

กลยุทธ์การตลาดที่มี “แบรนด์ลิซ่า” เป็นตัวนำของ “เดนทิสเต้” ประสบความสำเร็จอย่างมากมายจนทำให้ทางค่ายปรับเป้าหมายทางการตลาดใหม่ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะขายเดนทิสเต้ในไทย 80% ขายต่างประเทศ 20% แต่เมื่อโอกาสเข้ามา บวกกับจำนวนประชากรทั้งโลกกว่า 7,000 ล้านคน มากกว่าคนไทยที่มีเพียง 70 ล้านคน เมื่อผสานกับชื่อเสียงของแบรนด์ที่มีลิซ่าเข้ามา ทำให้จากนี้ไปเดนทิสเต้จะมียอดขายจากต่างประเทศ 80% และไทย 20% แทน โดยปัจจุบันเดนทิสเต้มียอดส่งออกเกือบ 50% จากอดีตที่มีเพียง 10% โดยคิดเป็นยอดขายที่มาจากเกาหลี และญี่ปุ่นมากที่สุด

สุดท้าย “เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” บอกว่า แม้สัญญากับลิซ่าจะเกิดขึ้นเป็นปีที่ 2 และยังไม่มีการเจรจาถึง สัญญาปีที่ 3 แต่โดยส่วนตัวการทำตลาดของแบรนด์เชื่อในความสัมพันธ์ และการจับมือระยะยาว เพราะแบรนด์ยังคงถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ดังนั้นโอกาสในการต่อสัญญาฉบับใหม่จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ “เพราะที่ผ่านมาผมเคยใช้พรีเซ็นเตอร์คนเก่านานถึง 6 ปี ซึ่งถ้าคาแร็คเตอร์แมทซ์กันจริงๆ เราก็ยินดีใช้ในระยะยาว คาแร็คเตอร์ที่ไปกับตัวสินค้าได้ สำคัญที่สุด ” 

 

อ่านเพิ่มเติม

“เดนทิสเต้” กรณีศึกษาแบรนด์สร้าง Emotional Value “ยาสีฟันคู่รัก-ตั้งราคาสูง” แต่ผู้บริโภคยอมจ่าย

 


แชร์ :

You may also like