ตลอดช่วง 2 ปีโควิด “สิงห์ เอสเตท” เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจกระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายแหล่งรายได้ใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน ปลายปี 2564 ได้เริ่มลงทุนธุรกิจใหม่ “นิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน” มั่นใจปี 2565 สร้างรายได้นิวไฮอยู่ที่ 13,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัว หลังจาก 2 ปีก่อน “ขาดทุน”
เป้าหมายปี 2565 สู่ Future Growth
ปี 2564 ที่ผ่านมาถือเป็น Game Changing ธุรกิจของสิงห์ เอสเตท หลังจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้เน้นการลงทุนไปที่โรงแรมเป็นส่วนใหญ่ ในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ และการซื้อโรงแรมในสหราชอาณาจักร (UK) ปัจจุบันธุรกิจโรงแรมมีมูลค่าทรัพย์สิน 30,000-40,000 ล้านบาท
ปลายปีที่ผ่านมาได้ขยายธุรกิจใหม่ในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) เป็นธุรกิจที่ 4 เพิ่มเติมจากเดิม ธุรกิจที่พักอาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงาน
โดยปี 2565 สิงห์ เอสเตท จะก้าวสู่ Future Growth โดยวางเป้าหมายทุกกลุ่มธุรกิจทำรายได้ 13,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,739 ล้านบาท และถือเป็นสถิติ New High สัดส่วนมาจากธุรกิจโรงแรม 63% ที่อยู่อาศัย 25% ธุรกิจอาคารสำนักงาน 8% และนิคมอุตสาหกรรมและอื่นๆ 4%
วางงบลงทุนในปี 2565 อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ที่พักอาศัย 6,000 ล้านบาท (งบซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท และก่อสร้าง 2,000 ล้านบาท) โรงแรม 1,500 ล้านบาท อาคารสำนักงาน 1,000 ล้านบาท และนิคมฯ 1,500 ล้านบาท
สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนใน 5 ปีต่อจากนี้ (2565-2569) มูลค่า 50,000 ล้านบาท จะเน้นไปที่กลุ่มที่พักอาศัยมากขึ้นด้วยสัดส่วน 60%
3 กลยุทธ์หลัก ดันรายได้ New High
การผลักดันให้รายได้เพิ่มขึ้นเกือบ “เท่าตัว” ในปีนี้ คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท สรุปกลยุทธ์การดำเนินงานไว้ 3 เรื่องหลักดังนี้
1. กระจายการลงทุน 4 ธุรกิจ
– ธุรกิจที่อยู่อาศัย ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 50% จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The ESSE at Singha Complex) และ ดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) ปีนี้รับรู้รายได้ 900 ล้านบาท
โครงการบ้านแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ราคาหลังละ 250 ล้านบาท “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ปิดการขายแล้ว มีมูลค่า Backlog อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท ปีนี้รับรู้รายได้ 70% เดือนสิงหาคมเปิดโครงการใหม่บ้านหรูแบรนด์สันติบุรีอีก 1 โครงการ ราคาหลังละ 50-80 ล้านบาท ทำเลพัฒนาการ มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท
– ธุรกิจโรงแรม ปีนี้เติบโต 88% สร้างรายได้ 8,500 ล้านบาท ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มีรายได้สูงขึ้นเป็นอันดับที่ 2 ปัจจุบันมีโรงแรมอยู่ใน 5 ประเทศ ไทย สหราชอาณาจักร มัลดีฟส์ มอริเชียส และฟิจิ โดยมีโรงแรม 39 แห่ง จำนวน 4,602 ห้องพัก กระจายอยู่ในแต่ละภูมิภาคของโลก ทำให้มีฤดูกาลท่องเที่ยวตลอดปี
ปัจจุบันโรงแรมในมัลดีฟส์ มีอัตราการเข้าพักกลับมาสูงกว่าก่อนโควิดแล้ว เช่นเดียวกับโรงแรมในสหราชอาณาจักรที่ทำได้สูงกว่าปี 2561 ก่อนเกิด Brexit โดยเฉลี่ยไตรมาสแรกมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 70% ส่วนราคาห้องพักเฉลี่ยสูงขึ้น 10-20%
โรงแรมในประเทศไทย 3 แห่ง ที่เกาะพีพี,ลากูน่า ภูเก็ต และสันติบุรี เกาะสมุย คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาไตรมาส 3 ปีนี้
– ธุรกิจอาคารสำนักงาน กลางปีนี้จะเปิดตัวโครงการ เอส โอเอซิส (S OASIS) พร้อมพื้นที่รีเทลในย่านลาดพร้าว พื้นที่รวม 55,700 ตารางเมตร ตั้งเป้ามีอัตราการเช่าพื้นที่ 50% ในปีนี้ อีกโครงการคือ เอส เมโทร (S METRO) อาคารสำนักงานย่านพร้อมพงษ์ โดยซื้อโครงการมาเมื่อ 2 ปีก่อนปัจจุบันรีโนเวทเรียบร้อยแล้ว ส่วนอาคารสำนักงานสิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้ต่อสัญญารอบใหม่กับผู้เช่าทุกรายแล้ว โดยมีอัตราเช่า 95%
– ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เริ่มลงทุนนิคมอุตสาหกรรมแรกจังหวัดอ่างทอง พื้นที่ 2,000 ไร่ ซึ่งเป็นจังหวัดด้านเกษตรกรรมเป็นศูนย์กลางการเดินทางภาคกลาง แบ่งเป็นพื้นที่ขาย 1,000 ไร่ และพื้นที่สาธารณูปโภค 1,000 ไร่ ปี 2565 ตั้งเป้าโอนที่ดิน 15% ของพื้นที่ขายนิคมฯ
2. “ซินเนอร์จี-ร่วมทุน” พันธมิตรธุรกิจ
– สิงห์ เอสเตท จะใช้กลยุทธ์จับมือเป็นพันธมิตรกับคู่ค้าในธุรกิจต่างๆ ที่มีความชำนาญแตกต่างกัน เพื่อร่วมกันขยายธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจเดิม ที่ผ่านมาได้ในธุรกิจที่อยู่อาศัย ได้เป็นพันธมิตรกับ Hongkong Land ผู้พัฒนาอสังหาฯ ชื่อดัง ร่วมทุนพัฒนาคอนโดหรู โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) ทำเลปากซอยทองหล่อ มูลค่าโครงการ 5,900 ล้านบาท ทำยอดพรีเซล 67% มียอดโอนแล้ว 50% ของโครงการ
-พันธมิตรใหม่ในธุรกิจโรงแรม คือ Wai Eco World Developer โดยร่วมทุนทำโรงแรมมัลดีฟส์แห่งใหม่ (เดิมกลุ่มสิงห์ฯ ลงทุนอยู่แล้ว 2 เกาะ 2 โรงแรมและพื้นที่รีเทล) โดยจะลงทุนเกาะที่ 3 ร่วมกัน เป็นโรงแรม 5 ดาว ภายใต้แบรนด์ SO/ Maldives มีห้องพัก 80 ห้อง คาดก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 3 ปี 2566
– ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เป็นพันธมิตรกับ บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้นใน 3 โรงไฟฟ้า สัดส่วน 30% โรงไฟฟ้าแห่งที่ 1 ได้เปิดให้บริการแล้ว กำลังผลิต 123 เมกะวัตต์ ปีนี้จะเริ่มรับรู้รายได้ ส่วนโรงไฟฟ้าที่ 2 และ 3 อยู่ระหว่างก่อสร้าง รวมกำลังผลิต 280 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 3 ปี 2566
– ปัจจุบันมองโอกาสลงทุนตามเมกะเทรนด์ สังคมสูงวัยและ Wellness ร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถขยายธุรกิจได้ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยว ภูเก็ต หัวหิน เชียงใหม่ พัทยา เพื่อรองรับกลุ่มต่างชาติ
3. เสริมแกร่งการเงินผ่านกองทุน REIT
– สิงห์ เอสเตท ได้ใช้กลยุทธ์บริหารจัดการความแข็งแกร่งด้านการเงินผ่านกองทุน REIT เพื่อนำเงินทุนกลับมาพัฒนาโครงการใหม่ๆ และยังคงเป็นผู้บริหารสินทรัพย์เดิมอยู่ ปัจจุบันกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) ของสิงห์เอสเตท มีสิทธิสัญญาเช่าระยะยาวอาคารซันทาวเวอร์ 2 อาคาร พื้นที่ 50,000 ตารางเมตร
– ปีนี้วางแผนให้เช่าระยะยาวอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกของบริษัท 3 อาคาร คือ สิงห์ คอมเพล็กซ์, เอส เมโทร และพื้นที่ค้าปลีก ซันทาวเวอร์ส ให้แก่กองทรัสต์ SPRIME เพิ่มเติมมูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ทำให้ SPRIME ขึ้นแท่นเบอร์ 1 กองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงาน
จากการบริหารพอร์ตโฟลิโอใน 4 กลุ่มธุรกิจ “สิงห์ เอสเตท” วางเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า รายได้เติบโตเฉลี่ย 25% ต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2569 จะมีรายได้ 25,000 ล้านบาท
สิ่งสำคัญคือการมองหาโอกาสขยายธุรกิจผ่านทั้ง 3 กลยุทธ์ เพื่อขยาย Business Spectrum ใน 4 ขาธุรกิจร่วมกับพาร์ทเนอร์และรองรับเมกะเทรนด์ในอนาคต
อ่านเพิ่มเติม