แม้สถานการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสาหัส แต่ AWC ธุรกิจในเครือทีซีซีกรุ๊ป ของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ยังเห็นโอกาสลงทุนระยะยาว ล่าสุดทุ่มงบ 435 ล้าน ซื้อโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่
เสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรม
ตั้งแต่ต้นปีนี้ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ที่บริหารโดยคุณวัลลภา ไตรโสรัส (บุตรสาวคนที่สองของเจ้าสัวเจริญ) ได้เข้าซื้อกิจการโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวเข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง
เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ซื้อโรงแรมซิกมา รีสอร์ท จอมเทียน พัทยา สูง 14 ชั้น อยู่ติดถนนเลียบหาดจอมเทียน มีห้องพัก 287 ห้อง ซึ่งเป็นการซื้อสินทรัพย์จากบริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 550 ล้านบาท และต้องใช้งบประมาณปรับปรุงจำนวน 1,288 ล้านบาท รวมมูลค่าการลงทุน 1,838 ล้านบาท
เดือนพฤศจิกายน ลงนามในสัญญาเช่าที่ดินริมน้ำประวัติศาสตร์ “ล้ง 1919” จาก บริษัท หวั่งหลี จำกัด เป็นเวลา 64 ปีเศษ ด้วยงบลงทุน 3,436 ล้านบาท สร้างเป็น “The Integrated Wellness Destination” บริหารโดย The Ritz Carlton Hotel พัฒนาเป็นแลนด์มาร์คศูนย์สุขภาพริมน้ำในระดับสากล จุดหมายปลายทางของคนรักสุขภาพจากทั่วโลก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 บอร์ด AWC มีมติเข้าซื้อโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ (D2CM) ขนาด 130 ห้องพัก จากบริษัท ดุสิตธานี พร็อพเพอร์ตี้ส์ รีท จำกัด ด้วยงบลงทุน 435 ล้านบาท โรงแรมตั้งอยู่บนถนนช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ติดกับ “เชียงใหม่ ไนท์บาซาร์” แหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์รวมร้านอาหาร ร้านค้าชื่อดังใจกลางเมือง ทั้งยังอยู่ใกล้กับโรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ อีกหนึ่งโครงการของ AWC
พัฒนาเชียงใหม่เจาะนักท่องเที่ยวทั่วโลก
คุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่าโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ ถือเป็นทำเลศักยภาพ ที่มีทั้งศิลปวัฒนธรรม ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ความบันเทิง ประวัติศาสตร์ แหล่งพบปะ การประชุมสัมมนา ที่พัก ถนนคนเดิน จะทำให้ถนนช้างคลาน กลายเป็นถนนสายท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางเมืองเชียงใหม่
โดยบริษัทมีแผนเชื่อมการให้บริการแบบไร้ขีดจำกัดเพื่อรองรับตลาดของนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยรุ่นและนักธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ AWC สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ครบทุกเซกเมนต์ เพื่อผลักดันจังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำคัญ ในการต้อนรับนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก
การลงนามในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือระหว่าง AWC และกลุ่มดุสิตธานี เครือโรงแรมระดับตำนานของไทย ที่เปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวและเสริมศักยภาพการเชื่อมต่อของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของ AWC ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวที่หลากหลายของนักท่องเที่ยว หลังจากรัฐบาล มีนโยบายเปิดประเทศพร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการการท่องเที่ยวภายในประเทศสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวยุทธศาสตร์ของภาคเหนือ ที่เป็นศูนย์รวมวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ
ทั้งนี้ บริษัท ดุสิตธานี พร็อพเพอร์ตี้ส์ รีท จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT Manager) ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DREIT) ได้มีมติขายโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ (D2CM) ให้กับบริษัท ทรัพย์ ทีซีซี โฮเทล เชียงใหม่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ AWC มูลค่า 435 ล้านบาท โดยกองทรัสต์จะจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหน่วยทรัสต์ เพื่อพิจารณาอนุมัติมติดังกล่าวในวันที่ 27 มกราคม 2565
โดยหลังจากดำเนินการทำสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้ว “กลุ่มดุสิตธานี” จะยังคงบริหารงานโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ ต่อเนื่อง AWC มีแผนจะพัฒนาโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ ให้เป็นหนึ่งในพอร์ตโฟลิโอที่สามารถเชื่อมโยงกับโครงการคุณภาพต่างๆ ในเชียงใหม่และในเครือทั่วประเทศต่อไป
DREIT รับรู้กำไร ปรับพอร์ตลงทุน
คุณสานต่อ มุทธสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิตธานี พร็อพเพอร์ตี้ส์ รีท จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT Manager) ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DREIT) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ DREIT มีมติให้ขายโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ (D2CM) ให้กับ AWC ในราคา 435 ล้านบาท หลังจากประเมินความเหมาะสมในการขายทรัพย์สิน ที่จะทำให้กองทรัสต์สามารถรับรู้กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สิน และเป็นโอกาสที่ดีในการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยเงินที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินดังกล่าว คาดว่าจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่กองทรัสต์ รวมถึงชำระหนี้เงินกู้ยืมบางส่วน และ/หรือเป็นแหล่งเงินลงทุนในการปรับปรุงทรัพย์สิน และ/หรือลงทุนในทรัพย์สินที่มีศักยภาพเพิ่มเติม โดยกองทรัสต์จะจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหน่วยทรัสต์ เพื่อพิจารณาอนุมัติมติดังกล่าวในวันที่ 27 มกราคม 2565
ทั้งนี้ กองทรัสต์ได้เข้าลงทุนในโครงการโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ เมื่อปี 2553 ตั้งแต่ยังเป็นกองทุนรวมเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ด้วยมูลค่าลงทุน 362 ล้านบาท ต่อมาภายหลังการแปลงสภาพเป็นกองทรัสต์ DREIT ทางผู้จัดการกองทรัสต์ ได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกหลายด้านตามนโยบายที่ได้รับจากคณะกรรมการ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงทรัพย์สินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการเข้าไปลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม
“การปรับปรุงโครงสร้างทรัพย์สินภายใต้การบริหารของกองทรัสต์ DREIT มีเป้าหมายในการสร้างสมดุลให้กับกลุ่มทรัพย์สินที่เราเข้าไปลงทุน เช่นเดียวกับการตัดสินใจขายโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ ในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้พอร์ตการลงทุนกระชับและเหมาะสมมากขึ้นแล้ว กองทรัสต์ยังสามารถรับรู้กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินอีกด้วย”
ดุสิตธานี บริหาร “ดีทู เชียงใหม่” ต่อเนื่อง
ขณะที่ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารทรัพย์สินของกองทรัสต์ (Hotel Operator) กล่าวเพิ่มเติมว่า การขายทรัพย์สินของกองทรัสต์ DREIT ในครั้งนี้ ถือเป็นข้อตกลงในลักษณะของการเป็นพันธมิตรร่วมธุรกิจที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เนื่องจาก AWC มองว่าพื้นที่ตั้งของโรงแรมอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถนำไปร่วมพัฒนากับสินทรัพย์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันได้เป็นอย่างดีในอนาคต และดำเนินการพัฒนายกระดับบริเวณถนนช้างคลาน ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงใหม่
ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีก็มองหาโอกาสการลงทุนอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต โดยระหว่างนี้ กลุ่มดุสิตธานีจะยังคงบริหารงานโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ เพื่อรักษาสัดส่วนการตลาดและรักษาแบรนด์ไว้ในจังหวัดเชียงใหม่ไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่ากลุ่มผู้ลงทุนใหม่จะทำการพัฒนาสินทรัพย์ต่อไป
“นอกจากธุรกรรมครั้งนี้จะทำให้ทรัพย์สินภายใต้การบริหารของกองทรัสต์ DREIT เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ธุรกรรมดังกล่าวยังช่วยให้ภาระหนี้สินของกลุ่มดุสิตธานีดีขึ้น เนื่องจากสัญญาเช่าโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ ที่มีภาระผูกพันอยู่กับกองทรัสต์ DREIT อีก 10 ปีจะสิ้นสุดลงเมื่อการซื้อขายสำเร็จเรียบร้อย ซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินของกลุ่มดุสิตธานีมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”