HomeBrand Move !!วิชั่นใหม่ “ช่อง 3” ไม่ใช่แค่ทีวี แต่ขอเป็นยักษ์ใหญ่ผลิตคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์ม

วิชั่นใหม่ “ช่อง 3” ไม่ใช่แค่ทีวี แต่ขอเป็นยักษ์ใหญ่ผลิตคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์ม

แชร์ :

ch3 bec

คืนถิ่น BEC มาเมื่อเดือนกรกฎาคม กับภารกิจพลิกองค์กรให้กลับมาทำกำไรอีกครั้ง วันนี้ “สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์” ประกาศวิชั่นใหม่ “ช่อง 3” พร้อมทรานส์ฟอร์ม ไม่ได้เป็นแค่ “ทีวี” อีกต่อไป แต่เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ทุกแพลตฟอร์ม กับโอกาสสร้างรายได้จากทุกช่องทาง

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ผลประกอบการ BEC มีตัวเลขขาดทุนมาตั้งแต่ปี 2561 จากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อทีวี ที่มีคู่แข่งขันมากขึ้นในยุคทีวีดิจิทัล และมาพร้อมการเติบโตของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ทำให้เม็ดเงินโฆษณาทีวีหดตัวลงเรื่อยๆ ในที่สุดปี 2562 บีอีซี ตัดสินใจคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 2 ช่อง (ช่อง 13 และ ช่อง 28) เพื่อลดภาระต้นทุน และหันมาโฟกัสช่อง 3 เพียงช่องเดียวให้กลับมามีกำไรอีกครั้ง      

แต่ปี 2563 ยังถือเป็นโจทย์ยากของช่อง 3 เมื่อมีปัจจัยลบหลายอย่าง ทั้งโควิด-19  ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งสถานการณ์การเมือง ทำให้รุกตลาดได้ไม่เต็มที่ เมื่อลูกค้าลงโฆษณายังลดค่าใช้จ่าย ทำให้สถานีทีวีเองก็ต้องปรับตัวลดต้นทุนด้วยคอนเทนต์รีรัน หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ไปแล้ว เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นในไตรมาส 3  รายการของช่อง 3 ก็กลับสู่ปกติ ตั้งแต่เดือนกันยายน หลังเจอโควิด เอฟเฟ็กต์

CEO Ch3 Surin

วิชั่นใหม่ “ช่อง 3” ผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่

ทิศทางของช่อง 3 หลังจากนี้ คุณสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจะอยู่ภายใต้กลยุทธ์ Single Content Multiple Platform คือการทำคอนเทนต์ 1 ครั้ง หรือมีต้นทุนครั้งเดียว แต่เผยแพร่ได้หลายวินโดว์ สร้างรายได้หลายครั้ง

ในอดีตการทำละคร 1 เรื่อง เริ่มจากออกอากาศผ่านจอทีวี จากนั้นตามด้วยรีรันและดีวีดี แต่ปัจจุบัน ละคร มีช่องทางเผยแพร่หลากหลายผ่าน New Media แพลตฟอร์มใหม่ๆ ทำให้ผู้ชมเข้าถึงรายการทีวีได้ง่ายขึ้น ช่อง 3 จึงมองช่องทาง New Media เป็นโอกาสที่จะเข้าถึงผู้ชมและสร้างรายได้มากขึ้น

“ธุรกิจทีวี มักถูกมองว่าเป็น Sunset ธุรกิจขาลง พฤติกรรมผู้ชมเปิดทีวีลดลง แต่ที่จริงคนยังดูคอนเทนต์ทีวีอยู่ แต่ผ่านดิจิทัล แพลตฟอร์ม จากอุปกรณ์ที่สะดวกอย่างมือถือ สิ่งที่ช่อง 3 ต้องทำ คือ คอนเทนต์ที่ดี และขยายไปในทุกช่องทาง”

จากยุคแรกช่อง 3 มีวิสัยทัศน์ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์อันดับ 1 ของประเทศไทย มาในยุคนี้ วิชั่นของช่อง 3 เปลี่ยนไป โดยคณะกรรมการ (บอร์ด) เห็นชอบแล้วว่า “ช่อง 3” ไม่ได้เป็นแค่สถานีโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว แต่ได้วางตัวเองเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ในกลุ่มละคร วาไรตี้ ข่าว จากจุดแข็งมีความพร้อมด้านบุคลากร ดารานักแสดงระดับ A-List  จำนวนมากที่อยู่กับช่อง มีผู้จัดที่เป็นพาร์ทเนอร์กับสถานีมานาน สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้วิชั่นใหม่เกิดขึ้นจริง

ธุรกิจบริการสตรีมมิ่งระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Netflix  Disney+  WeTV  Line TV  รวมทั้งรายใหม่ๆ ที่เข้ามาทำตลาดไทย ต่างก็ต้องการคอนเทนต์ไทย อีกทั้งการแข่งขันจะทำให้ “ผู้เล่น” เหล่านี้ต้องทำ Original Content  ของแต่ละแพลตฟอร์มมากขึ้น นั่นถือเป็นอีกโอกาสของช่อง 3 ในฐานะผู้ผลิตคอนเทนต์ ที่จะเข้าไปผลิตให้แต่ละรายในอนาคต  “วันนี้ดารานักแสดง 70-80% ในวงการเป็นคนที่เกิดจากช่อง 3”

ch3 The New Normal

โฟกัส “คอนเทนต์” สร้างรายได้ทุกแพลตฟอร์ม

ช่วงที่ผ่านมาช่อง 3 ไปโฟกัสการพัฒนาแพลตฟอร์มก่อน แต่ต้องไม่ลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจาก “คอนเทนต์” เพราะคอนเทต์ที่ดีจะทำให้ ช่อง 3 เข้าถึงแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ใช้คอนเทนต์เดิม ต้นทุนเดิมสร้างโอกาสหารายได้ผ่านธุรกิจ New Media ขายลิขสิทธิ์ให้กับแพลตฟอร์ม OTT ที่ต้องการ Local Content

ช่อง 3 ทำละครมา 40 ปี มีละครเก่ากว่า 1,000 เรื่อง เรื่องละ 20-30 ชั่วโมง รวมหลายหมื่นชั่วโมง คอนเทนต์เหล่านี้จะสร้างรายได้ใหม่ให้กับช่อง 3 ทั้งช่องทาง New Media และขายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ

ปัญหา “ขาดทุน” ของช่อง 3 มาจากรายได้ทีวี (ออฟไลน์) ลดลง ขณะที่รายได้ฝั่งออนไลน์ และขายลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้นแต่ยังไม่ทันกันอยู่ดี เพราะนับตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบันอุตสาหกรรมโฆษณาเม็ดเงินลดลงไปแล้ว 40-50% และมีแนวโน้มจะลดลงไปถึงปี 2566 และคงไม่เพิ่มขึ้นอีก สถานการณ์นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเปลี่ยนให้เจ้าของสื่อทีวีและผู้ผลิต ต้องปรับตัวมาเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ ให้กับสื่อทีวีเองและไปในทุกแพลตฟอร์ม รวมทั้งขายลิขสิทธิ์ไปต่างประเทศ หากปรับตัวได้ก็มีโอกาสเติบโตได้

ที่ผ่านมาการขายลิขสิทธิ์ละครในต่างประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี อย่างเรื่องล่าสุด ร้อยเล่ห์มารยา ขายลิขสิทธิ์เพื่อออกอากาศพร้อมกัน 10 ประเทศ ดังนั้นต่อไปกลยุทธ์การทำละคร จะมองตลาดต่างประเทศด้วย  โดยเฉพาะ จีน ที่เป็นตลาดใหญ่สุดของช่อง 3  การทำละครจะต้องเลือกดารานักแสดงแม่เหล็กที่ผู้ชมจีนชื่นชอบ นำเสนอเนื้อหาที่ไม่ขัดกับกฎการออกอากาศในประเทศจีน

ปี 2563 รายได้ช่อง 3 มาจากขายโฆษณาทีวี 80% รายได้จาก New Media และการขายลิขสิทธิ์ละครต่างประเทศมีสัดส่วน 20% แต่มีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกหลังจากนี้ ปีหน้า แอปพลิเคชั่น 3+ ช่องทางดูรายการช่อง 3 ผ่านทางออนไลน์ จะมีคอนเทนต์ ออนดีมานด์ รูปแบบพรีเมี่ยม จ่ายค่าสมาชิกรายเดือนในอัตราไม่แพงให้รับชมมากขึ้น รวมทั้งมีฟีเจอร์ที่สามารถพูดคุยกับแบบอินเตอร์แอคทีฟ กับดาราคนโปรดได้ด้วย

“วิชั่นใหม่ของช่อง 3 ไม่ได้มองรายได้อยู่แค่ทีวีเป็นหลักอีกต่อไป แต่จะหาโอกาสจาก New Media และการขายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศมากขึ้น  ข้อดีของการทำคอนเทนท์ละครทีวี คือลงทุนครั้งเดียว แต่สามารถขายลิขสิทธิ์ได้ทุกช่องทางและตลาดต่างประเทศ”

ch3 The New Normal

ปี 2564 ปรับยกแผง “ละคร-ข่าว-วาไรตี้”

สำหรับธุรกิจทีวี ในปี 2564 คอนเทนต์หลักยังอยู่ใน 3 กลุ่ม คือ 1. ละคร  ซึ่งเป็นรายได้หลักของช่อง 3 แต่ละปีมีละครใหม่ 30-40 เรื่อง โดยจะปรับแนวทางและวิธีการทำละครไปตามกระแสนิยมของผู้ชม ตามยุคสมัย มีแนวใหม่ๆ อย่าง ละครวาย เข้ามาอยู่ในผังมากขึ้น

2.รายการข่าว แม้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความโดดเด่นด้านข่าวลดลง เพราะมีทีวีดิจิทัลช่องข่าวเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ปี 2564 ฝ่ายข่าวจะปรับวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ ข่าวแต่ละช่วงจะมีกลุ่มผู้ชมชัดเจนขึ้น รวมทั้งผู้ดำเนินรายการข่าวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น

3 รายการวาไรตี้  โดยภาพรวมอุตสาหกรรมทีวีช่วงที่ผ่านมา เป็นรายการวาไรตี้มีเรตติ้งลดลงมากสุดเมื่อเทียบกับ ละครและข่าว เพราะผู้ชมมีช่องทางในการเสพคอนเทนต์บันเทิงผ่านสื่อออนไลน์ หากรายการยังนำเสนอเหมือนเดิม โอกาสที่จะประสบความสำเร็จอาจจะยาก ปี 2564 จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอร่วมกับผู้ผลิตรายการเดิมให้มีความหลากหลายมากขึ้น

แม้ธุรกิจทีวีจะถูกมองว่าอยู่ในช่วง “ขาลง” สินค้าลดงบโฆษณา แต่ไม่ได้หมายความว่าเลิกใช้  หากช่อง 3 มีคอนเทนต์ที่ดี ก็จะเป็นตัวเลือกการใช้งบโฆษณาของแบรนด์ต่างๆ ได้ และทำให้ยังมีเม็ดเงินเข้ามา หลังจากเริ่มพลิกมาทำกำไรได้ในไตรมาส 3 และแนวโน้มน่าจะดีขึ้นในไตรมาส 4 แม้ทั้งปี 2563 ยังต้องขาดทุนอยู่ แต่ปี 2564 อาจจะเห็นการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักได้อีกครั้ง


แชร์ :

You may also like