HomeBrand Move !!“ฤทธิ์ ธีระโกเมน” ​The Last Samurai บนสังเวียน Food Chain อีกหน่อย MK จะขายอะไรก็ได้

“ฤทธิ์ ธีระโกเมน” ​The Last Samurai บนสังเวียน Food Chain อีกหน่อย MK จะขายอะไรก็ได้

แชร์ :

“ตอนนี้ผมอายุ 68 ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรงดี​ และเชื่อว่าจะแข็งแรงไปได้อีกอย่างน้อยจนถึงอายุ 75 ปี เพราะผมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เต็มที่ ดูแลจิตใจ ไม่เครียด เข้าถึงธรรมะ และกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญผมกิน MK เลือกที่จะลดข้าว ลดแป้ง ​หันมาบริโภคผัก บริโภคเต้าหู้ ซึ่งดีต่อสุขภาพจริงๆ” 

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ฟังดูอาจเหมือนมุขตลกปนขายของ แต่เป็นคำกล่าวที่แฝงไว้ด้วยความจริงจังของแม่ทัพในธุรกิจอาหารอย่าง คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน ที่ยืนหยัดต่อสู้ในเกมธุรกิจมาอย่างยืนยง ​รั้งตำแหน่ง ​Chairman และ CEO บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มาจนกระทั่งปัจจุบัน นับเป็นเวลามากว่า 30 ปี แล้ว พร้อม​สร้างความแข็งแรงให้ธุรกิจด้วย​ยอดขายต่อปีเกือบสองหมื่นล้านบาท และความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ MK ให้กลายเป็นหนึ่งใน Top of Mind ของคนไทย ที่คนมักจะนึกถึงเมื่อต้องการไปรับประทานอาหารนอกบ้าน​

เตรียมแผนวางมือ แต่ภารกิจต้องมาก่อน  

ในสนามธุรกิจโดยเฉพาะบนสังเวียนอาหารแบบเครือข่าย (Food Chain) หลายบริษัท หลายธุรกิจ ส่งต่อไปสู่เจนเนอเรชั่นใหม่ หรือไม่ก็เปลี่ยนแม่ทัพ เปลี่ยน CEO กันไปหลายต่อหลายคน แต่กับ เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ยังคงนำทัพด้วย คุณฤทธิ์ ดังเดิม เฉกเช่นเดียวกับเมื่อหลายทศวรรษก่อน

“ผมน่าจะเป็น The Last Samurai แล้วนะ ในธุรกิจ Food Chain เราน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่วางมือ คนที่เคยอยู่รุ่นราวคราวเดียวกันนี่หายไปหมดแล้ว ซึ่งจริงๆ ผมก็อยากถอยมาเป็นที่ปรึกษา แต่ MK อยู่ในช่วงของการสร้างคน เริ่มดันคนรุ่นใหม่ ทั้งลูกหลาน ทั้งผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่เสริมทีมเตรียมกันไว้แบบยกแผง แต่ก็ต้องรอเวลา เพราะตอนนี้ทุกคนอาจจะยังรู้ ยังเชี่ยวชาญแค่ในส่วนงานที่ตัวเองรับผิดชอบ แต่การจะเป็น CEO ต้องรู้รอบ รู้กว้าง มีความเข้าใจในหลายๆ เรื่อง ซึ่งเราก็กำลังดู กำลังเลือกว่าใครจะเหมาะสมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอของเอ็มเคกรุ๊ปคนต่อไป”​

คุณฤทธิ์ ยอมรับว่า เริ่มมองเรื่องการวางมือทางธุรกิจไว้บ้าง แต่สุดท้าย ภารกิจต้องมาก่อน ถึงอยากจะวางมือเพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ดูจังหวะเวลาที่ใช่ เพราะถ้าตัดสินใจวางมือโดยที่องค์กรยังไม่มีความพร้อมในการส่งไม้ต่อ คงไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจ ตอนนี้จึงต้องเร่งสร้างคน เริ่มฝึกเจนเนอเรชั่นใหม่ในทุกๆ สายงาน และมีการสลับย้ายหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อเรียนรู้งานให้รอบด้านเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้ามาเป็นผู้นำองค์กรคนต่อไป โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี

และถึงแม้ว่า คุณฤทธิ์ จะยังไม่วางมือจากธุรกิจ แต่ก็เริ่มลดบทบาทในการทำงานบางส่วนลง โดยเฉพาะงานในลักษณะ Day to Day Operation ที่เหลืออยู่ในมือไม่ถึง 20% โดยเริ่มลดบทบาทของตัวเองลงมาได้ราว 3-4 ปี แล้ว ทำให้ธุรกิจสามารถ Run เองได้ตามปกติ โดยที่คุณฤทธิ์ไม่ต้องลงมาดูรายละเอียดของเนื้องานต่างๆ ทั้งหมด เหมือนช่วงที่ผ่านมา

ซุ่มคุย​หลายโปรเจ็กต์ อนาคต MK จะขายอะไรก็ได้

แม้ CEO วัยเก๋า จะออกปากว่าอยากวางมือ แต่ก็ได้เห็น Movement จากกลุ่ม MK อย่างต่อเนื่อง ทั้งในปีที่ผ่านมา ที่ควักเงิน 1,750 ล้านบาท เพื่อร่วมทุนกับกลุ่ม SENKO ยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 ในธุรกิจโลจิสติกส์ของญี่ปุ่น เพื่อจัดตั้ง M-SENKO ลุยธุรกิจโลจิสติกส์ โดยโฟกัสในกลุ่มธุรกิจอาหาร พร้อมวางเป้าหมายไกลถึงการเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์ ในกลุ่ม Cold Chain ของอาเซียน ด้วยการให้บริการแบบ One Stop Service เพื่อเข้าไปเป็น Strategic Partner กับลูกค้า ช่วยเรื่องหลังบ้านลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าไปโฟกัสกับการทำธุรกิจอย่างเต็มที่

รวมไปถึงดีลใหญ่ที่เพิ่งผ่านพ้นไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา กับการเข้าไปถือหุ้น 65% ในธุรกิจ “แหลมเจริญซีฟู้ด”​ เพื่อเติมเซ็กเม้นต์ใหม่ในพอร์ตธุรกิจอย่างกลุ่ม Seafood ที่ทางเอ็มเคยังขาด Category นี้​อยู่ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ยังอยู่ระหว่างการคุยกับธุรกิจต่างๆ เพื่อหาโอกาสในการเติบโตร่วมกัน ไม่ต่ำกว่า 7-8 ราย ซึ่งถ้าพูดคุยกันได้ลงตัว MK ก็เปิดกว้างกับทุกโอกาสที่เข้ามา

“ในอนาคต MK จะขายอะไรก็ได้ เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยหยุดนิ่ง จากจุดเริ่มต้นธุรกิจของครอบครัวจากร้านอาหารไทย ณ สยาม มาสู่การทำสุกี้หม้อไฟ ต่อยอดมาทำร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านราเมง ธุรกิจร้านกาแฟและเบเกอรี่​ และล่าสุดกับร้านอาหารซีฟู้ด เพราะต้องปรับตัวต่อการแข่งขัน เพื่อเป็นทางเลือกที่ใช่​​ เป็นที่ต้องการของลูกค้า แม้จะมีธุรกิจอื่นๆ เกิดขึ้น​ ที่สำคัญคือการไม่หยุดพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจ และการมีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแรงมารองรับ ประกอบกับในอนาคตหากต่อยอดเรื่อง Data Matching มากขึ้น จะทำให้ทราบข้อมูลลงลึกแต่ละคน​ ทำให้สามารถจัดส่งสินค้าที่อยู่นอกเหนืิอเมนูเพื่อส่งให้ลูกค้าได้ถึงบ้าน หรือต่อยอดไปถึงการใช้พื้นที่ในร้านในช่วงที่ไ่ม่มีลูกค้ามาก เพื่อเปิดเวิร์กช็อปทำอาหารหรือกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วย เพราะในอนาคตเราไม่ได้จำกัดกรอบการทำธุรกิจ แต่รอคนที่จะเข้ามาสานต่อให้สิ่งเหล่านี้เกืดขึ้นได้จริง”

Facebook: MK Restaurants

​ส่วนที่มาของดีลล่าสุดอย่างแหลมเจริญซีฟู้ด คุณฤทธิ์ อธิบายว่า เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจของ MK ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มโอกาสธุรกิจอยู่เสมอ ทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมา MK มีการพัฒนาทั้งแบรนด์​ และซับแบรนด์ที่หลากหลายเข้าไปในธุรกิจ  ​ประกอบกับความเข้ากันได้ในทางธุรกิจ ทั้งวิธีคิด วัฒนธรรมองค์กรต่างๆ ​เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

รวมไปถึงโอกาสและศักยภาพของกลุ่มอาหารซีฟู้ด ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมจากคนไทยอยู่แล้ว ​โอกาสที่จะสปีดธุรกิจให้เติบโตได้มากขึ้นจึงมีอยู่ค่อนข้างสูง รวมทั้งยังมองข้ามช็อตไปถึงวันที่ขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ ก็จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการสร้างการรับรู้ให้กับ Local Food ของประเทศไทยในกลุ่มอาหารทะเลเพิ่มเติมมาอีกหนึ่งเซ็กเม้นต์ด้วยเช่นกัน

ขณะที่การเข้าไป Operated อยู่ระหว่างการวางแผนรายละเอียด และการจัดทัพต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนว่าต้องเกิดขึ้นหลังความร่วมมือ คือ การสปีดให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น จากปัจจุบันแหลมเจริญมีอยู่ 26 สาขา และมีแผนขยายสาขาให้ทั่วถึงมากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวและวางระบบที่ดีเพื่อรองรับการเติบโต ทั้งระบบการเทรนนิ่ง การทำตลาด ​การสร้างแบรนด์ การจัดส่งและลอจิสติกส์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจอาหารทะเล หรือการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เข้าไปช่วยทำให้แบรนด์แข็งแรงได้มากขึ้น ซึ่งทุกอย่างเป็นความแข็งแกร่งที่เอ็มเคมีอยู่แล้ว จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถสนับสนุนการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับธุรกิจของแหลมเจริญในอนาคตได้

เตรียมให้พร้อม​ ทั้งโอกาสและวิกฤต

คุณฤทธิ์ เล่าทิศทางการเติบโตของ MK จากนี้ จะเปิดกว้างทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการซื้อแฟรนไชส์ การพัฒนาแบรนด์ใหม่ของตัวเอง การร่วมกิจการ หรือซื้อกิจการ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไป และเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้าง Growth ให้กับธุรกิจได้ ส่วนเซ็กเม้นต์ธุรกิจที่ยังขาด​และสนใจจะหามาเติมในพอร์ต อาทิ อาหารต่างประเทศที่คนทั่วไปคุ้นเคย ซึ่งจะเพิ่มการเข้าถึงในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น หรือการปัดฝุ่นธุรกิจ ณ สยาม ร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของกรุ๊ป ที่จะนำมาเซ็ตสแตนดาร์ตให้เหมาะกับการขยาย และจะกลับมารุกตลาดใหม่อีกครั้งในรอบเกือบ 40 ปี

“ปกติ MK จะมีการเปลี่ยนแปลงทุก 7 ปี เหมือนกับการลอกคราบของงู ที่หลังจากลอกคราบก็จะโตเพิ่มขึ้นทุกครั้ง​ โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังมานี้  MK เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทดลองนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เข้ามาทดลองใช้ในธุรกิจ ทำให้ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจไว้ได้ ​​รวมไปถึงการพยายามที่จะพัฒนาเพื่อนำเทคโนโลยี AI มาใช้ประโยชน์ต่อยอดจากฐานข้อมูลที่มี เพื่อให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้แบบ Personalize ในนอนาคต ​ตรงกับคาแร็คเตอร์ของ MK ที่ชอบทดลองของใหม่ ​โดยปัจจุบันเริ่มทดลองนำเครื่องทอนเงินไปใช้ใน 10-20 สาขา เพื่อวัดการตอบรับก่อนจะขยายสเกลไปใช้ในทุกๆ สาขา ให้ครบทั้ง 700 สาขา หรือที่ใช้มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้วกับระบบการสั่งอาหารผ่านไอแพด ซึ่งลูกค้าเริ่มใช้งานได้อย่างคุ้นเคยมากขึ้น ทำให้ในเร็วๆ นี้ ทาง MK อาจจะยกเลิกการใช้เมนูกระดาษในร้านเอ็มเคทุกสาขา”

Facebook : MK Restaurants

คุณฤทธิ์ ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ในยุคที่ธุรกิจอยู่ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ธุรกิจเองก็ต้องปรับตามให้ทัน โดยเฉพาะการวางแผน วางกลยุทธ์​ สำหรับขับเคลื่อนการเติบโต เพราะไม่สามารถวางแบบ Long term ไว้ล่วงหน้าหลายๆ ปี เหมือนที่ผ่านมาได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ MK ยังคงเติบโตได้​ท่ามกลางความท้าทายที่อยู่รอบด้าน คือ การเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองอยู่เสมอ​ โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแรงทางด้านการเงิน เพื่อให้ทุกๆ ครั้งที่โอกาสเข้ามาถึงก็สามารถคว้าไว้ได้ โดยไม่พลาดโอกาสสำคัญ​

แต่ในทางกลับกัน การทำธุรกิจก็ไม่ได้มีเพียงแค่โอกาส แต่ยังเต็มไปด้วยปัจจัยลบที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งประเด็นภายในประเทศและจากต่างประเทศ การมีฐานธุรกิจที่แข็งแรงจึงช่วยป้องกันให้ธุรกิจรอดพ้นจากปัญหาต่างๆ และมีแหล่งเงินทุนสำรองมาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน หากไม่มีการมองในส่วนเหล่านี้เอาไว้​ อาจทำให้ต้องประสบภาวะขาดทุน หรือเจ๊งจนต้องปิดกิจการไปในที่สุด ซึ่งหากไปถึงจุดนั้นโอกาสที่จะนำพาธุรกิจกลับมายืนจุดเดิมได้ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก

“MK​ ให้ความสำคัญกับการมีกองทุนด้านต่างๆ เพื่อรับกับโอกาสและเป็น Buffer ที่ช่วยอุดรอยรั่วให้กับธุรกิจ ​ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานอย่างมีธรรมาภิบาล ​เรื่องของระบบความปลอดภัยทั้ง​​ Food Safety หรือการทำประกันและความเสี่ยงไว้อย่างรอบด้าน รวมทั้งทุนในส่วนเงินสำรองที่กันไว้สำหรับยามฉุกเฉิน รวมทั้งการไม่สร้างหนี้สิน เพื่อความปลอดภัยขององค์กรในอนาคต ที่สำคัญ​ อย่าคิดเอาแต่ได้​ ต้องไม่ลืมทำสิ่งดีๆ ให้สังคมด้วย​ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่องค์กร เพราะสังคมจะเป็นคนคอยซัพพอร์ตเรา ในยามที่เราหกล้ม แต่ถ้าเราไม่เคยคิดถึงใคร ยามที่เราพลาด ก็จะมีแต่คนสมน้ำหน้าเรา”


แชร์ :

You may also like