เรียกว่าเป็นการตัดสินใจที่อาจตอบโจทย์คนยุคมิลเลนเนียล หรือธุรกิจเอสเอ็มอีที่กำลังมองหาสินเชื่ออย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลไต้หวันตัดสินใจให้ใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารแบบเวอร์ชวล (ธนาคารที่ให้บริการผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลโดยไม่มีสาขาของตนเอง) แล้วกับผู้ให้บริการ 3 ราย ได้แก่ LINE Financial Taiwan, Next Commercial Bank และ Rakuten International Commercial Bank
โดยในส่วนของ LINE Financial Taiwan นั้นเกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของ LINE Group ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันแชท, Taipei Fubon Commercial Bank และ Standard Chartered ส่วน Next Commercial Bank เป็นธุรกิจของผู้ให้บริการโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง Chunghwa Telecom และสุดท้ายกับ Rakuten International Commercial Bank เป็นการจับมือกันของบริษัท Rakuten (ญี่ปุ่น) และ IBF Financial Holdings ของไต้หวัน
งานนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมพอสมควร นอกเหนือจากเรื่องของการใช้ AI และ BigData เพราะผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาในตลาดนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะทำตลาดในกลุ่มใดบ้าง และยังมีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างออกไปจากธนาคารในรูปแบบเดิมด้วย
อย่างไรก็ดี ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไต้หวัน เพราะในประเทศอื่น ๆ ของเอเชียก็มีการผลักดันใบอนุญาตดังกล่าวกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ที่ให้ใบอนุญาตแก่ธนาคารดิจิทัลไปแล้ว 5 ราย หรือเกาะฮ่องกงที่ให้ใบอนุญาตไปแล้ว 8 รายในช่วงครึ่งปีแรกของ 2019
รายงานข่าวจากรอยเตอร์ยังระบุอีกด้วยว่า ประเทศไทยและมาเลเซียกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาออกใบอนุญาตธนาคารดิจิทัลนี้เช่นกัน
จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ นักวิเคราะห์จาก McKinsey ได้แนะนำว่า เหลือเวลาให้ธนาคารรุ่นพี่ที่อยู่ในตลาดมาก่อนปรับตัวอีกไม่มากแล้ว เพราะหากปล่อยให้ธนาคารดิจิทัลเหล่านี้เติบโตและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้สำเร็จ จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นของธนาคารลดลงไปอยู่ที่ 6.4% ในปี 2023 จากที่เคยอยู่ 10.1% เมื่อปี 2018 ได้เลยทีเดียว