หนึ่งในความตื่นตัวทั่วโลกที่กำลังยกระดับความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพราะเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ที่เกิดกับโลกใบนี้จากปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ต่างออกมาประกาศวิสัยทัศน์ หรือกำหนดทิศทางในการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสภาพแวดล้อมของโลกนี้อย่างมีความสมดุล เพื่อให้ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในมิติของการสร้างกำไรให้ธุรกิจ ควบคู่ไปกับความพยายามทำให้ตลอดทั้ง Supply Chain ของธุรกิจ เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยตรง จากบทบาทในการเป็นผู้ผลิตยานยนต์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ผู้คนทั่วโลก และผลผลิตจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเครื่องยนต์ก็เป็นต้นเหตุของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่ช้ันบรรยากาศ หนึ่งในเหตุผลสำคัญของปัญหา Climate Change ต้นเหตุของปัญหาโลกร้อนในปัจจุบัน
กลายมาเป็นหนึ่งในโจทย์สำคัญของบริษัทรถยนต์ทั้งหลาย เพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่พยายามลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมันให้น้อยลง รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซ CO2 สู่ชั้นบรรยากาศ นำมาสู่การพัฒนารถยนต์ในเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฮบริด (HV) ปลั๊กอินไฮบริด (PHV) รถไฟฟ้า (EV) และล่าสุดที่ถือได้ว่าเป็นโมเดล Eco Friendly อย่างแท้จริง กับรถพลังงานไฮโดรเจน (FCV)
เช่นเดียวกับทิศทางในการขับเคลื่อนของบริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก สัญชาติญี่ปุ่น อย่างโตโยต้า ที่ให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ภายใต้การคำนึงถึง Global Environment Issue ตามปรัชญาของผู้ก่อตั้งอย่าง Mr.Kiichiro Toyoda ที่ต้องการดูแลและยกระดับสังคมให้ดีขึ้น ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่การเริ่มตั้งไลน์ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี 1936 ก่อนจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถ Passenger Car รายแรกของญี่ปุ่นที่สามารถส่งออกรถยนต์ในขายในตลาดสหรัฐได้ ในปี 1957
การเริ่มทำตลาดโมเดล Corolla ในปี 1966 และเริ่มให้ความสำคัญกับการควบคุมการปล่อยมลภาวะต่างๆ สู่ชั้นบรรยากาศมาตั้งแต่ปี 1973 รวมทั้งการเริ่มทำตลาดโมเดลรถ Eco Friendly อย่างโตโยต้า พรีอุส รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งจากแบตเตอรี่ประจุไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ในปี 1997 และล่าสุดกับโตโยต้า มิไร เครื่องยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน ที่เรียกได้ว่าเป็นโมเดลแห่งรถพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง เพราะใช้พลังไฮโดรเจนในการขับเคลื่อน และการเผาไหม้ที่ได้จากเครื่องยนต์จะปล่อยออกมาเป็นน้ำแทน CO2 ซึ่งไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสิ่งแวดล้อม โดยโมเดลนี้เริ่มทำตลาดในญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกมาตั้งแต่ปี 2014
โตโยต้า มิไร ต้นแบบรถพลังงานไฮโดรเจน
โตโยต้า มิไร ถือเป็นการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมตัวล่าสุดของโตโยต้า และถือเป็นโมเดลรถ Eco Car อย่างแท้จริง เพราะเป็นเครื่องยนต์ FCV (Fuel Cell Vehicle) ที่ใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง และผลลัพธ์ที่ได้จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงประเภทนี้คือ น้ำเปล่า จากการทำปฏิกิริยาทางเคมีกับออกซิเจนในอากาศ ไม่ใช่ CO2 เหมือนกับเชื้อเพลิงจากน้ำมัน จึงถือเป็นการใช้พลังงานสะอาดอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเทียบกับรถไฟฟ้าหรือ EV ที่ไม่ได้ปล่อย CO2 ออกมาเช่นกัน เพราะใช้การขับเคลื่อนจากแบตเตอรี่ที่ชาร์จด้วยไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ แต่ต้นกำเนิดของไฟฟ้าก็ยังต้องมาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ทรัพยากรต่างๆ มาเป็นตัวผลิตไฟฟ้าอยู่เช่นเดิม
ที่สำคัญในกรณีเกิดภัยธรรมชาติต่างๆ เกิดขึ้น โตโยต้า มิไร ยังสามารถแปลงเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ ได้อีกด้วย
สำหรับโตโยต้า มิไรนั้น เริ่มทำตลาดในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2014 และได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด โดยในปี 2019 มียอดการจองรถตั้งแต่เดือนมกราคมเข้ามาแล้วกว่า 3 พันคัน ส่วนการเติมไฮโดรเจนให้กับรถนั้นก็ทำได้ง่ายเหมือนกับการเข้าไปเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันทั่วไป และใช้เวลาไม่นานในการเติมไฮโดรเจน โดยใช้เวลาประมาณ 3 นาที ในการเติมไฮโดรเจนให้ได้ 5 กิโลไฮโดรเจน และปริมาณ 5 กิโลไฮโดรเจนนี้ สามารถวิ่งได้ในระยะทาง 500 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อเทียบราคาในญี่ปุ่นแล้วถือว่าประหยัดกว่าการเติมน้ำมัน
เนื่องจาก ราคาต่อหน่วย 1 กิโลไฮโดรเจน จะอยู่ที่ 1,100 เยน ไม่รวมภาษี เมื่อรวมกับภาษี 8% ราคาก็จะตกอยู่ที่ราว 1,200 เยน เมื่อเติม 5 กิโลไฮโดรเจน เพื่อให้วิ่งได้ 500 กิโลเมตร ก็จะต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงราว 6,000 เยน ขณะที่เมื่อเทียบกับรถยนต์ปกติ เช่น โตโยต้า อัลพาร์ด ซึ่งข้อมูลจากผู้ใช้รถรุ่นนี้ในญี่ปุ่นเล่าว่า หากจะเติมน้ำมันเต็มถังจะต้องจ่ายค่าน้ำมันที่ประมาณ 7,000 เยน โดยวิ่งได้ระยะทางที่ประมาณ 400 กิโลเมตร ดังนั้น เมื่อเทียบกันแล้ว ในญี่ปุ่นจะถือว่าค่าเชื้อเพลิงก๊าซไฮโดรเจนถูกกว่าการใช้น้ำมันเบนซินเล็กน้อย
ด้านความสะดวกในการเข้าถึงสถานีบริการนั้น ปัจจุบันมีปั๊มก๊าซไฮโดรเจนเปิดให้บริการทั่วญี่ปุ่น ตั้งแต่ฮอกไกโดไปจนถึงโอกินาว่า มีจำนวนสถานีบริการอยู่ 113 แห่ง ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็เร่งส่งเสริมให้มีการขยายจำนวนปั๊มก๊าซไฮโดรเจนเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนสถานีบริการให้ครบ 900 แห่ง ทั่วประเทศญี่ปุ่น ภายในปี 2030 หรือในอีก 11 ปีนับจากนี้
จะเห็นได้ว่า การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานสะอาดทั้งจากฟากการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ รวมทั้งการส่งเสริมปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการสนับสนุนให้มีการใช้เครื่องยนต์ไฮโดรเจนในวงกว้างมากขึ้น จะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้บริษัทรถยนต์สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน
ประกาศวิสัยทัศน์ ENVIRONMENT CHALLENGE 2050
โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของโตโยต้า ในประเทศญี่ปุ่น แสดงถึงความจริงจังในการเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่จะดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญต่อการดูแลปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำตลอดทั้ง Supply Chain ด้วยการประกาศวิสัยทัศน์ “TOYOTA ENVIRONMENT CHALLENGE 2050” ในเดือนตุลาคม ปี 2015
โดยได้วาง 6 แนวทางเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้ไปสู่เป้าหมายในการลดการปล่อย CO2 จากการดำเนินธุรกิจ ไปอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่า ZERO & BEYOND ภายในปี 2050 ทั้งจากการวางโรดแม็พ Challenge เป้าหมาย ZERO CO2 จากมิติต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นจากการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ การคำนึงถึงการสร้าง CO2 ตลอด Lifecycle ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นจากการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ หรือของเสียจากกระบวนการผลิตต่าง และในส่วนของโรงงานทุกแห่งของโตโยต้าที่ต้องลดการปล่อย CO2 พยายามนำทรัพยากรมาใช้อย่างสูงสุด และส่งเสริมการใช้พลังงานไฮโดรเจน
รวมถึง Challenge ในการทำให้ธุรกิจเข้าไปมีส่วนต่อการสร้างผลกระทบเชิงบวกเพื่อดูแลและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น เช่น ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตและฟื้นฟูสภาพน้ำให้สะอาดก่อนส่งกลับไปสู่ระบบตามธรรมขาติ การส่งเสริมโมเดลที่สนับสนุนให้เกิดการรีไซเคิล และกาเข้าไปส่งเสริมการปลูกป่าหรือดูแลสิ่งแวดล้อมของภาคชุมชนและสังคมอย่างต่อเนื่อง
หลังจากคลอดแผนดังกล่าว โตโยต้า มอเตอร์ คอปอร์เรชั่น ก็ได้ประกาศเป้าหมายในทางธุรกิจ ที่จะทำให้รถยนต์ในรุ่นใหม่ๆ ที่จะออกมาทำตลาดนับจากนี้ จะสามารถลดการปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศลงให้ได้ไม่ตำกว่า 90% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับความสามารถที่ทำได้ในปี 2010 โดยเฉพาะการเร่งพัฒนาเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ และเป็นพลังงานสะอาด อย่างพลังงานไฮโดรเจน และพลังงานจากไฟฟ้า มาใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์โมเดลใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทำตลาดในอนาคตเพิ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมเป้าหมายว่าจะสามารถจำหน่ายรถยนต์ในกลุ่มที่ไม่มีการปล่อย CO2 ให้ได้มากกว่า 5.5 ล้านคัน ภายในปี 2030 รวมทั้งจะค่อยๆ ลดการทำตลาดรถรุ่นที่ใช้น้ำมันเบนซินเพียงอย่างเดียวลง ให้เหลือเฉพาะรุ่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง HV PHV FCV และรถไฟฟ้าเพียงเท่านั้น
ขณะที่โตโยต้า ประเทศไทยเอง ก็มีการนำ TOYOTA ENVIRONMENT CHALLENGE 2050 มาเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจเช่นกัน โดยในส่วนของ Product ได้ส่งเสริมให้มีการใช้งานโมเดลรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการบุกเบิกทำตลาดรถไฮบริดในประเทศไทย ตั้งแต่การนำโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด เข้ามาทำตลาดตั้งแต่ปี 2009 ตามมาด้วยรุ่นอื่นๆ อย่างโตโยต้า พรีอุส และตัวล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปคือ Toyota C-HR เวอร์ชั่นปี 2019
โดยเฉพาะการส่งเสริมและขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่ม Hybrid Business ที่ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านามา ได้ทำการเปิดสายการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริด ในโรงงานโตโยต้า เกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นหนึ่งมิติในการสนับสนุนให้มีการใช้รถในกลุ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งข่วงปลายปียังมีแผนจะเปิดธุรกิจใหม่เพื่อสนับสนุนการไปสู่เป้าหมาย Zero CO2 จากมิติของ Lifecycle ด้วยการเพิ่มธุรกิจรับซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ในกลุ่มไฮบริด เพื่อต่อยอดการใช้งานแบตเตอรี่แต่ละก้อนให้ได้ประโยชน์สูงสุดผ่าน 3 แนวทาง คือ Rebuilt Reuse และ Recycle
โดยจะประเมินจากสภาพแบตแต่ละก้อน เช่น ถ้าแบตมีเซลล์ที่เสียหายที่ไม่เกิน 10% ก็จะทำการ Rebuilt ด้วยการเปลี่ยนเซลล์ใหม่มาใส่ ทำให้แบตมีความสามารถในการใช้งานได้เหมือนใหม่อีกครั้ง แล้วนำแบตไปขายเป็นแบตมือ 2 หรือแบตเก่าที่ยังมีความสามารถในการเก็บประจุได้ ก็จะนำไป Reuse เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บประจุพลังงานต่างๆ เช่น จากโซลาร์เซลล์ เพื่อจ่ายพลังงานในเวลาที่ต้องการ หรือแบตที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ก็จะทำการแยกชิ้นส่วน แล้วนำไปหลอมตามกระบวนการ Recycle เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่
ขณะที่ในส่วนการ Go Green ในองค์ประกอบอื่นๆ ของธุรกิจ เช่น ในส่วนของอาคาร หรือโรงงาน ก็คำนึงถึงการลดการใช้พลังงาน และพัฒนาเทคโนโลยี และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่างๆ หรือการนำระบบกลไกทำงานทางด้านพลังงานกล เช่น หลักแรงโน้มถ่วง คานดีด คานงัด มาใช้ในกระบวนการทำงานบางอย่างแทนการใช้หุ่นยนต์ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง เป็นต้น
ขณะที่การตอบรับการใช้รถยนต์ไฮบริดรุ่นต่างๆ ในประเทศไทยนั้น ถือว่า ได้รับการตอบรับดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ลูกค้าในปัจจุบันมีความตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีความเข้าใจและมั่นใจการใช้งานรถเทคโนโลยีในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น จนทำให้ที่ผ่านมาจะเห็นการนำเข้ารถโตโยต้า เครื่องยนต์ไฮบริด รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในอนาคตจะมีพอร์ตรถยนต์ในกลุ่มไฮบริดเพิ่มมากขึ้นอีกอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ยังเห็นความพยายามในการทลายกำแพงที่ทำให้ลูกค้ายังมีความลังเลในการเลือกใช้รถยนต์ไฮบริด โดยเฉพาะความกังวลในเรื่องของราคาแบตเตอรี่ไฮบริด ที่หลายๆ คนมองว่ามีราคาอยู่ในระดับสูง ด้วยการตั้ง New Business Model เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงแบตเตอรี่ ไฮบริดได้สะดวกและในราคาที่ถูกลง จึงเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนให้ผู้บริโภคคนไทยเลือกใช้รถยนต์ ไฮบริดโมเดล ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคตได้อีกทางหนึ่ง