HomeInsightเช็คตลาดความงามสาวไทย “หน้าสวยไว้ก่อน” กลุ่มเฟซแคร์+เมคอัพ ใหญ่เกินครึ่งตลาดแถมโตสูงสุด

เช็คตลาดความงามสาวไทย “หน้าสวยไว้ก่อน” กลุ่มเฟซแคร์+เมคอัพ ใหญ่เกินครึ่งตลาดแถมโตสูงสุด

แชร์ :

บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) เปิดเผยผลวิจัย “ตลาดเครื่องสำอางและความงามไทย” ทั้งข้อมูลภาพรวมตลาดความงาม การรู้และเข้าใจถึงพฤติกรรมและความต้องการ ตลอดจนแนวโน้มตลาดของกลุ่มเป้าหมาย และตลาดเป้าหมาย เพื่อวางกลยุทธ์ในการเจาะตลาดได้อย่างตรงจุด พร้อมแสดงให้เห็นถึงทิศทางและอนาคตของตลาดเครื่องสำอางและความงามของไทย

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

โดย คุณอิษณาติ วุฒิธนากุล ผู้อำนวยการด้านพัฒนาธุรกิจ กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) ระบุว่า ตลาดความงามของไทย เป็นตลาดที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก มีมูลค่าตลาดรวมถึง 57,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 3.8% ซึ่งกลุ่มที่ขับเคลื่อนการเติบโตให้กับตลาดมากที่สุดจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้า ทั้งในกลุ่ม Face Care และ Make up ขณะที่มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์รวมกันมากกว่าครึ่งตลาด

ทั้งนี้ หากแบ่งสัดส่วนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในตลาด รวมทั้งการเติบโตของแต่ละกลุ่ม จะแบ่งได้ดังนี้

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า (Face Care) เติบโต 5% มีสัดส่วนในตลาด 40%

2. กลุ่มผลิตภัณฑ์เมคอัพ (Make Up) เติบโต 8.7% มีสัดส่วนในตลาด 16%

3. กลุ่มผลิตภัณฑ์บอดี้แคร์ (Body Care) เติบโต 5% มีสัดส่วนในตลาด 11%

4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผมและศีรษะ (Hair Care) เติบโต 0.8% มีสัดส่วนในตลาด 33%

ในส่วนของตลาดเมคอัพ สินค้าหลักที่ช่วยผลักดันการเติบโตจะเป็นสินค้าที่ต้องใช้เป็นประจำ เช่น ดินสอเขียนคิ้ว รองพื้น และลิปสติก โดยมียอดขายเติบโตจากกลุ่มผู้ใช้หรือผู้ซื้อปัจจุบัน 74% และจากผู้ซื้อรายใหม่อีก 4%  และส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนในเขตตัวเมืองที่ซื้อเพื่อต้องการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง

โอกาสตลาดเครื่องสำอางไทยยังโตอีกมาก

สินค้ากลุ่มเมคอัพในประเทศไทยยังมีช่องว่างให้เติบโตไปได้อีกมาก เพราะการทำตลาดในปัจจุบันยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แค่ 48% เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดความงามขนาดใหญ่อย่างประเทศเกาหลีที่เจาะตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากถึง 85%

“การใช้กลยุทธ์นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่วาไรตี้ให้ครอบคลุมความต้องการจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ประเภทการล้างเครื่องสำอาง (Make Up Remover) และมาสค์หน้า (Mask) ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ นับเป็นตัวส่งผลต่อยอดขายได้ถึง 14%  และ 12% เลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังพบว่าคนไทยมีพฤติกรรมด้านความงามที่เปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้ามากขึ้น ด้วยการเพิ่มขั้นตอนในการดูแลหน้ามากขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากการที่มีกลุ่มสกินแคร์ เกิดขึ้นในตลาดมากมายตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปี 2560”

สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีผลต่อการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์ความงาม สามารถแบ่งได้  4 กลุ่มหลัก คือ Gen Z,  กลุ่ม Millennials, Gen X และกลุ่ม Baby Boomer โดย กลุ่ม Millennials หรือคนที่มีอายุ 23 – 39 ปี ซึ่งอยู่ในวัยเริ่มทำงานจะเป็นกลุ่มกำลังซื้อหลักด้วยสัดส่วน 43% ทั้งในแง่ของมูลค่าและปริมาณ โดยกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น จะเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของตลาด

ด้านกำลังซื้อและเบรนด์ที่เลือกใช้ ในผลิตภัณฑ์แมสแบรนด์ เช่น มีสทีน(Mistene) การ์นีเย่(Garnier) พอนด์ (Ponds) นีเวีย(Nivea) และโอเลย์ (Olay) กำลังซื้อเฉลี่ยสำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะอยู่ที่ 176 บาท ในปริมาณ 100 มิลลิลิตร ส่วนกลุ่มพรีเมียมแบรนด์ เช่น ลอรีอัล, Artistry, Smooth E, Oriental Princess กำลังซื้อเฉลี่ยในกลุ่มนี้คือ 536 บาท ในปริมาณ 100 มิลลิลิตร

 Micro Influencer -บิวตี้บล็อกเกอร์ เครื่องมือขายที่ได้ผล

คุณอิษณาติ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์กลุ่มความงาม  แสดงให้เห็นว่า กลยุทธ์สำคัญที่เจาะให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องเป็นกลยุทธ์ที่สามารถผนวกรวมระหว่าง โลกของยุคดิจิทัล – สังคม และธุรกิจที่เป็นหนึ่งเดียว กลยุทธ์ Micro Influencer จึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภคด้านความงามในปัจจุบันได้อย่างถ่องแท้

“ผู้บริโภคจะต้องการผลิตภัณฑ์ความงามที่เป็นการป้องกัน หรือประเภท Anti-Aging มากกว่าผลิตภัณฑ์เพื่อการแก้ไข รวมทั้งมีความต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทที่ช่วยให้ “สวยเร่งด่วน” และต้องการความสะดวกสบาย เป็นสูตรสำเร็จแบบ ออล-อิน-วัน  เน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ และที่สำคัญที่สุด คือ  ต้องเป็นสินค้าที่มีเรื่องราว มีความเป็นมา แต่ยังคงอยู่ร่วมในยุคสมัยได้”

สำหรับการประเมินทิศทางและอนาคตของผลิตภัณฑ์กลุ่มความงามในตลาดประเทศไทย จากข้อมูลวิจัยและการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงสถานะและปัจจัยต่อตลาดไทย ดังนี้ 1.ตลาดความงามของประเทศไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้นในวงจรของการเติบโต  ซึ่งทำให้มีโอกาสเติบโตไปได้อีกมาก  2. การเข้ามาของแบรนด์ดังและแบรนด์พรีเมี่ยม จะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดไทย  3. ช่องทางออนไลน์ เป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญยิ่ง ในอนาคต

“ความสามารถในการเจาะตลาดเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ผู้ประกอบการหรือแบรนด์สินค้าจะต้องพัฒนาสินค้าและสร้างสรรค์แคมเปญที่โดนใจ เพื่อให้มีอิทธิพลที่จะทำให้เกิดการแชร์ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์และเรื่องราวของสินค้านั้นๆ ไปยังเพื่อนฝูง อย่างกว้างขวาง โดยหัวใจหลักในการชนะใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อยึดครองตลาดได้ตามเป้าหมาย สิ่งที่ต้องคำนึงถึง  คือ  “การแชร์  “อัพเกรด” และต้องอยู่บน “โลกออนไลน์” ให้ได้นั่นเอง”

ภาพเปิด :  NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand


แชร์ :

You may also like