HomeFeaturedกว่าจะเป็น Diva ! ครูอ้วน-มณีนุช นักร้องแบบมวยวัด สู่ ผู้สร้างศาสตร์แห่งการใช้เสียง

กว่าจะเป็น Diva ! ครูอ้วน-มณีนุช นักร้องแบบมวยวัด สู่ ผู้สร้างศาสตร์แห่งการใช้เสียง

แชร์ :

cr: IG @manee.ms

ได้รับการยอมรับในฐานะ DIVA เสียงทรงพลังคนหนึ่งของประเทศไทย สำหรับ “ครูอ้วน” มณีนุช เสมรสุต ที่คงไม่มีใครกังขาความสามารถทางด้านการร้องเพลง เพราะกวาดรางวัลมานับไม่ถ้วนทั้งในประเทศและในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักร้องสมัครเล่นยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2522  การเป็นตัวแทนประเทศไทยร้องเพลงในงานเทศกาลดนตรีหรือในงานพิธีการต่างๆ มากมาย การมีโอกาสก้าวไปสู่ตลาดเพลงนานาชาติ ด้วยผลงานอัลบั้มเพลงสากล DESIRE ที่ประเทศแคนาดา และยังเป็นนักร้องไทยคนแรกที่ได้รับคัดเลือกแสดง Show Case ในงานมหกรรมเพลงนานาชาติ MIDEM ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

การก้าวไปประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติได้ขนาดนี้ หลายคนคงนึกว่า “ครูอ้วน” น่าจะเรียนรู้ทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับเทคนิคในการใช้เสียงมาอย่างมากมาย จนกลายเป็นบันไดในการนำพาตัวเองไปจนถึงจุดสูงสุดต่างๆ เหล่านี้ได้

แต่ความจริงไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ เพราะในวันที่ครูอ้วนสามารถคว้ารางวัลนักร้องสมัครเล่นยอดเยี่ยมของเอเชียมาครองได้นั้น ครูอ้วนยอมรับเลยว่า ชนะมาได้แบบมวยวัดแท้ๆ

“ในยุคของเราต่างจากยุคปัจจุบัน ในยุคนั้นไม่มีโรงเรียนสอนร้องเพลง หรือโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับศาสตร์ด้านเทคนิคในการใช้เสียงโดยเฉพาะแบบทุกวันนี้ วันที่เราไปชนะระดับเอเชียมา เหมือนเราเป็นมวยวัดที่ขึ้นไปต่อย แล้วพยายามปล่อยหมัดที่มีออกไปให้ได้มากที่สุด จนเราสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ โดยที่เราไม่รู้ว่าหมัดที่เราชนะน็อคคู่ต่อสู้มาได้นั้นเป็นหมัดไหน แล้วเราปล่อยหมัดนั้นออกไปได้อย่างไร”

ครูอ้วนเล่าว่าเก็บความสงสัยเหล่านั้นไว้กับตัวเองมาโดยตลอด เพราะไม่ว่าจะถามใครก็ไม่มีใครให้คำตอบที่กระจ่างแจ้งได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือ การพยายามฝึกฝน และเรียนรู้เพิ่มเติมได้ทุกครั้งที่มีโอกาส แต่โดยส่วนตัวครูอ้วนเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดมาได้นั้นต้องมีเหตุผลหรือมีทฤษฎีมารองรับเสมอ

เมื่อมีกำลังมากพอ ครูอ้วนจึงทุ่มทุนกำลังทรัพย์เป็นเงินไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท ในการตระเวนเรียนกับคุณครูนับสิบคน เพื่อลงเรียนคอร์สต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้เสียงและทฤษฎีทางด้านดนตรี จากหลากหลายสถาบันในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นบอสตัน แคลิฟอร์เนีย และฟลอริด้า เพื่อต้องการหาคำตอบให้กับตัวเอง จนเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์และเทคนิคในการใช้เสียงมากขึ้น โดยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นดนตรีในแขนงใดแขนงหนึ่ง เพราะครูอ้วนเลือกที่จะเรียนรู้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิก เแจ๊ส หรือว่าร็อก เพราะเพลงแต่ละประเภทก็จะมีเทคนิค มีรายละเอียด มีการเลือกใช้ช่องเสียง หรือมีวิธีการใช้เสียงที่แตกต่างกันไป ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นความรู้ใหม่ๆ ทั้งสิ้น

“สำหรับอ้วน ถือว่าตัวเองเกิด 2 ครั้ง คือ เกิดมาจากท้องแม่ กับการเกิดได้ใหม่อีกครั้งเพราะเสียง เรามีทุกวันนี้ได้ มีโอกาสในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่ดีมากมายเพราะเสียงของเรา ซึ่งเรามองว่าเป็น Miracle of Voice สำหรับเราจริงๆ เพราะเราไม่เคยได้เรียนร้องเพลงอย่างจริงจังมาก่อน แต่เรามีพรสวรรค์และที่สำคัญกว่าคือพรแสวง เมื่อเรามีเสียงเป็นใบเบิกทางและไม่หยุดที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม พยายามทำความเข้าใจเรื่องของการใช้เสียงจนสามารถต่อยอดมาได้ถึงทุกวันนี้ และสิ่งที่เราจะทำต่อในวันนี้คือ การมาสอนเด็กๆ มาบอกต่อถึงเทคนิคและวิธีการที่เราไปเรียนรู้มา เพื่อจะได้ไม่ต้องไปลองผิดลองถูก ไปคลำทางเอาเองแบบที่เราเคยทำ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทฤษฎีรองรับและสามารถฝึกฝนได้ แม้บางคนอาจจะไม่มีพรสรรค์เป็นต้นทุนมาก่อนก็ตาม”

เส้นทางสู่การเป็นครูสอนร้องเพลง  

สำหรับผู้ที่ผลักดันให้ ครูอ้วน มาเป็นครูสอนร้องเพลงได้ถึงทุกวันนี้ คืออาจารย์มัทนี รัตนิน ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกสาขาวิชาการละคอน แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ทาบทามให้ครูอ้วนไปช่วยทำการสอนในคลาสหนึ่ง ด้วยการนำเนื้อหาที่ได้มาจากการไปศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมจากต่างประเทศ รวมทั้งจากประสบการณ์ต่างๆ ของตัวเอง โดยทำการสอนอาทิตย์ละครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน หรือรวมๆ ประมาณ 12 ชั่วโมง ซึ่งครูอ้วนได้วางแผนการสอนเบื้องต้น ด้วยการทำเป็น Out Line ที่ครอบคลุมการสอนในระยะ 3 เดือน

แต่เมื่อจบการสอนในคอร์สนั้น อาจารย์มัทนีก็ได้มอบหมายให้ครูอ้วนดูแลในเรื่องของการสอนมาอย่างต่อเนื่อง จนต่อยอดมาสู่การเปิดทำการสอนส่วนตัวภายใต้ชื่อ M.S. Voice Studio ในปี 2533 เพื่อสอนในเรื่องของการใช้เสียงและการร้องเพลง และได้รับการสนับสนุนจากทางช่อง 3 ในการส่งดารานักแสดงมาเรียนกับทางครูอ้วน โดยรุ่นแรกที่มาเรียน คือ คุณนก จริยา สรณะคม จนมาสู่กลุ่มเพาเวอร์ทรียุคของ ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์ และ แพท- ณปภา ตันตระกูล และมีรุ่นต่อๆ มา เข้ามาเรียนอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ครูอ้วนไม่สามารถหยุดได้ จึงทำการสอนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2535 ได้ทำการจัดตั้งเป็น “โรงเรียนสอนศิลปะการใช้เสียงและลีลา” ที่ได้รับการรรับรองหลักสูตรจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้ความรู้และพัฒนาขีดความสามารถของเด็กและเยาวชนที่สนใจเรื่องของการร้องเพลง เล่นละคร นักพูด นักพากษ์ นักธุรกิจ เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอาชีพ

“ระหว่างเปิดสอนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ใช้ชื่อว่า M.S. Voice Studio ก็ค่อยๆ เรียนรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางแก้ไขให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง ทั้งการที่เราเป็นครูสอนเพียงคนเดียวในช่วงแรก ซึ่งไม่เพียงพอ ก็ต้องรับคุณครูมาเพิ่ม โดยเราจะเป็นคนกำหนดมาตรฐานต่างๆ ให้คุณครูด้วยตัวเอง และค่อนข้างใช้เวลานานหลายปีกว่าจะได้มาตรฐานอย่างที่ต้องการ แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาสมองไหล ต้องมาเทรนคุณครูใหม่กว่าจะเข้าที่ก็ไม่ต่ำกว่า 5 ปี  ซึ่งเราก็พยายามหาแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ มาโดยตลอด”

การแก้ปัญหาของครูอ้วน คือ การบริหารโรงเรียนอย่างมีระบบ การพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเพื่อเป็นแกนในการขับเคลื่อนธุรกิจ ที่ชื่อว่า MTS หรือ Multimedia Intelligence Teaching System  ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ครูอ้วนพัฒนาขึ้นมาเอง ทั้งจากความรู้ทางด้านทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มาจากต่างประเทศอย่างหลากหลาย รวมทั้งจากประสบการณ์ในการเป็นครูสอนร้องเพลง และการได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในวงการบันเทิงมาแทบจะครบทุกศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เล่นละคร ละครเวที คอมเม้นต์เตเตอร์ พร้อมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับการสอนจากโรงเรียนที่ทำกันในสเกลเล็กๆ มาสู่การทำธุรกิจสถาบันการสอนอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ Star Maker Voice Academy  ที่ปัจจุบันมีสาขากระจายไปทั่วทุกมุมของกรุงเทพฯ รวม 10 แห่งแล้ว

“สิ่งที่เคยเป็นความสงสัย เป็นปัญหาของเรา เราได้หาคำตอบและถ่ายทอดออกมาไว้ในหลักสูตรนี้ทั้งหมด โดยใช้เวลาในการพัฒนาหลักสูตรนานถึง 5 ปี ทำทุกอย่างเองทั้งหมด และทำอย่างเคร่งเครียดจริงจัง จนเป็นโรคกรดไหลย้อนมาถึงทุกวันนี้ เพราะต้องการให้ธุรกิจมีระบบสามารถขับเคลื่อนได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรในอนาคต หรือในเรื่องมาตรฐานการสอนที่จะเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด”

ครูอ้วนกับการเป็นวิทยากรเรื่องเทคนิคในการใช้เสียงที่ Siam Kubota Cr: IG @manee.ms

ครูอ้วนยอมรับว่า การใช้คนสอนหรือแม้แต่ตัวครูอ้วนเป็นคนสอนเอง ก็คุมคุณภาพการสอนให้มีมาตรฐานเดียวกันได้ยาก เพราะในบางครั้งพลังงานและความพร้อมของเราในแต่ละวันไม่เท่ากัน การพัฒนาเป็นหลักสูตรขึ้นมาจะทำให้ทุกอย่างเป็นระบบอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบกลุ่ม เรียนเดี่ยว รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องบุคลากร ในกรณีที่มีคุณครูลาออกก็สามารถใช้ระบบนี้ในการพัฒนาคุณภาพของครูใหม่ได้เช่นกัน และยังช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาให้สามารถสอนได้ตามมาตรฐานภายใน 1 เดือน ไม่ต้องใช้ระยะเวลาหลายปีเหมือนช่วงแรกๆ รวมทั้งในอนาคต สามารถนำหลักสูตรนี้ไปประยุกต์หรือต่อยอดการพัฒนาของคุณครูสอนร้องเพลงได้อีกด้วย

 

12 ปี Star Maker ถึงเวลารีแบรนด์

หลังจากปี 2547 ที่ได้เปลี่ยนชื่อจาก M.S. Voice Studio มาเป็น Star Maker Voice Academy จนปัจจุบัน Star Maker มีอายุครบ 12 ปี กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 ซึ่งครูอ้วนมองว่าถึงเวลาที่ควรต้องปัดฝุ่น ทำการรีแบรนด์ใหม่ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของเด็กและเยาวชนในยุค 4.0 ได้แล้ว

สำหรับการรีแบรนด์ครั้งนี้ ใช้งบประมาณกว่า 10 ล้านบาท ทั้งการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ เปลี่ยนโลโก้ ปรับปรุงห้องเรียนใหม่ พัฒนาบุคลากร รวมทั้งการตกแต่งใหม่ทั้ง 10 สาขา ให้มีความทันสมัย และการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้มีความหลากหลาย และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเรียนมากขึ้น โดยมีการพัฒนา 2 หลักสูตร ได้แก่  Smart Makeover และ Born to be a Star

สำหรับ Smart Makeover จะนำเทคนิคในการใช้เสียงเพื่อไปใช้ในการต่อยอดในเรื่องของการพูดและพัฒนาบุคลิกภาพ การพูดในที่ชุมชน การพรีเซ็นต์งาน การเลือกใช้น้ำเสียงได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับทั้งบุคคลทั่วไป นักธุรกิจ องค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการพัฒนาหรือเทรนนิ่งบุคลากร เพื่อต่อยอดหรือเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจของตัวเอง โดยหลักสูตรนี้ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้มากขึ้น

ส่วนหลักสูตร Born to be a Star จะเจาะจงกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ต้องการแจ้งเกิดในวงการบันเทิง เน้นการพัฒนาทักษะทั้งการร้องเพลง เต้น เล่นสะคร ละครเวที ที่ต่อยอดจากศาสตร์ของการใช้เสียงได้ ประกอบกับการถ่ายทอดประสบการณ์จริงของครูอ้วนที่มีโอกาสได้สัมผัสกับงานทุกแขนง เพื่อให้เด็กๆ มีความพร้อม และเชื่อมั่นกับการกล้าที่จะแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการจำลองห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงที่เด็กๆ ต้องเจอ เมื่อไปออดิชั่นหรือไปประกวดตามเวทีต่างๆ  

“เราสอนให้เด็กๆ มีความพร้อมกับสิ่งที่ต้องไปเจอ จากประสบการณ์ในการทำงานที่หลากหลายประเภท และหลากหลายทีมงาน รวมทั้งนำมาใช้ในการออกแบบทุกอย่างในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นไฟ หรือองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้ใกล้เคียงกับของจริง เพื่อสร้างให้เด็กมีความคุ้นเคย และสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มศักยภาพของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันมีเวทีให้เด็กได้แสดงออกเพื่อแจ้งเกิดได้หลากหลายมากขึ้น โดยที่ผ่านมามีนักเรียนจาก Star Maker ที่สามารถแจ้งเกิดในวงการบันเทิงได้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับความพยายามและตั้งใจฝึกฝนอย่างจริงจังของผู้เรียนด้วย”

ครูอ้วนย้ำว่า คนที่จะเดินเข้ามาที่ Star Maker ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยากเป็นนักร้องหรือดาราเท่านั้น แต่ทุกคนสามารถเข้ามาที่นี่ได้ เพราะเป็นสถานที่เพื่อใช้เวลาที่มีให้เกิดประโยชน์และสร้างความสุข สามารถเข้ามาเพื่อฝึกทักษะและพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเอง โดยคนที่มาเรียนก็มีหลากหลายวัยทั้งเด็กและเยาวชน ผู้ใหญ่ หรือคนสูงอายุ มีอายุตั้งแต่ 3 ขวบ ไปจนถึง 84 ปีเลยทีเดียว  ส่วนเป้าหมายหลังการรีแบรนด์คาดว่าจะทำให้มีนักเรียนเข้ามาเรียนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%

บางส่วนของครูผู้สอนใน Star Maker จากครูจำนวนเกือบ 100 คน

สำหรับคำถามที่ไม่ถามคงไม่ได้ เพราะทุกคนคงอยากรู้และค้างคาใจมานานเกี่ยวกับค่าเรียนว่าแพงเหมือนกับคำร่ำลือจริงหรือไม่นั้น ครูอ้วนชี้แจงว่า เป็นกลยุทธ์ในการช่วยโปรโมท ด้วยการหยอกล้อของพี่ๆ น้องๆ ในวงการ ซึ่งค่อนข้างได้ผลและได้รับความสนใจแบบเหนือความคาดหมาย เพราะมีคนสงสัยและถามคำนี้กับครูอ้วนตลอดเวลา

ส่วนคำตอบนั้น ครูอ้วนบอกว่า แล้วแต่ลักษณะและรูปแบบในการเรียน เพราะทางสถาบันมีหลายหลักสูตรตั้งแต่พื้นฐาน M1 จนถึง M9  ขึ้นอยู่กับการเรียนอย่างต่อเนื่องจนครบทุกระดับหรือเลือกเรียนเฉพาะบางคลาส เป็นการเรียนแบบกลุ่มหรือเรียนเดี่ยวกับคุณครู ซึ่งการเรียนกับคุณครู ก็จะมีทั้งครูทั่วไป หรือต้องการแบบเฉพาะเจาะจงว่าอยากเรียนกับครูอ้วน ซึ่งมีราคาไม่เท่ากัน

“ราคาสำหรับการเรียนแบบกลุ่ม ซึ่งเมื่อหารเฉลี่ยต่อหัวแล้วจะเริ่มต้นที่ประมาณ 160 บาทต่อคนต่อชั่วโมง ส่วนการเรียนเดี่ยวกับคุณครู ถ้าเป็นคุณครูทั่วไปจะอยู่ที่ 800 -1,200 บาทต่อชั่วโมง แต่ถ้าต้องการเรียนกับครูอ้วนโดยตรงจะอยู่ที่ 1,900  บาทต่อชั่วโมง ที่สำคัญราคานี้เราไม่ได้ปรับมา 30 ปีแล้ว ถ้าจะบอกว่าเรียนกับครูอ้วนแพงก็อาจจะแพงจริง และแพงมาตั้งแต่ 30 ปีก่อนแล้ว แต่แพงแล้วรับประกันคุณภาพและความพึงพอใจ ส่งลูกมาเรียนแล้วลูกเก่ง ลูกกล้า ลูกเข้าสังคมเป็น ซึ่งต้องถือว่าคุ้มค่า เพราะพ่อแม่ทุกคนก็พร้อมและเต็มใจที่จะสนับสนุนลูกอย่างเต็มที่อยู่แล้ว”


แชร์ :

You may also like