HomeBrand Move !!กาแฟพรีเมี่ยมคึกรับแบรนด์ดังบุก สตาร์บัคส์สปีดหนีคู่แข่ง-ทรูคอฟฟี่ปรับใหญ่ชิงเค้ก

กาแฟพรีเมี่ยมคึกรับแบรนด์ดังบุก สตาร์บัคส์สปีดหนีคู่แข่ง-ทรูคอฟฟี่ปรับใหญ่ชิงเค้ก

แชร์ :

 coffee premium brand Thailand

 

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ศึกร้านกาแฟพรีเมี่ยมสุดคึก แบรนด์ดังหัวนอกดาหน้าบุก คาดตลาดขยายตัวทะลุหมื่นล้านปีหน้า สตาร์บัคส์ไม่นิ่งนอนใจเร่งสปีดขยายฐานลูกค้ารุกเปิดสาขาต่างจังหวัด ผุดมุม “กาแฟดริป” รับกระแสคนรุ่นใหม่ ด้านทรูคอฟฟี่ได้มีโอกาสเปิดปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ชิงเค้ก แยกธุรกิจออกจากบริษัทแม่ หวังลุยร้านกาแฟเต็มตัว ตอกย้ำเบอร์ 2 แข่งอินเตอร์แบรนด์

ตลาดร้านกาแฟคั่วบดหรูในบรรยากาศสบาย ๆ ที่ลูกค้าเข้ามานั่งดื่มกาแฟ พบปะสังสรรค์ เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่รับวัฒนธรรมการกินดื่มจากตะวันตกเข้ามา และชนชั้นกลางที่ขยายตัวทำให้ตลาดร้านกาแฟพรีเมี่ยมในไทยขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แบรนด์ดังจากต่างประเทศดาหน้าเข้ามารุกตลาด และส่งสัญญาณว่าจะมีอีกค่ายยักษ์ใหญ่ในปีหน้าส่งผลให้ผู้นำอย่าง “สตาร์บัคส์” ที่แต่เดิมครองตลาดอยู่เพียงรายเดียวต้องออกมาทำอะไรมากขึ้นเพื่อปกป้องส่วนแบ่งตลาดของตัวเอง

สตาร์บัคส์สปีดขยายฐานลูกค้า 

นางสุมนพินทุ์ โชติกะพุกกณะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท สตาร์ บัคส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากผลวิจัยเห็นชัดว่าคนไทยชอบใช้แบรนด์ต่างประเทศ ดังนั้นโอกาสของแบรนด์ร้านกาแฟดังจากต่างประเทศจึงเปิดกว้าง เชื่อว่าจะทำให้ตลาดคึกคักและขยายตัว อย่างไรก็ตามสตาร์บัคส์ไม่ได้นิ่งนอนใจที่ผ่านมามีการยกระดับเรื่องบริการ โปรดักต์ และการรีโนเวตสาขาอย่างต่อเนื่อง เฉพาะปีนี้มีการปรับปรุงร้านถึง 30 สาขา และเปิดอีก22 สาขา เพิ่มจากปีก่อนที่เปิด 15 สาขา ส่วนปีหน้ามีแผนเปิดไม่ต่ำกว่าปีนี้ โอกาสอยู่ที่ตลาดต่างจังหวัด

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าขยายโมเดลไดรฟ์ทรู ซึ่งปัจจุบันมี 1 สาขาที่คอมมิวนิตี้มอลล์ “ปอร์โตชิโน่” ซึ่งได้รับการตอบรับล้นหลาม ปีหน้าจะเปิดอีก 2-3 สาขา รวมถึงขยายธุรกิจกาแฟสำเร็จรูป “เวีย” ที่เปิดตัวมา 3 ปี ยอดขายเติบโตเท่าตัว เป็นอีกกลยุทธ์ในการได้ลูกค้าใหม่ ๆ โดยปีหน้าจะมีการเปิดตัวรสชาติใหม่เข้ามาเสริมทัพ รวมถึงรุกเข้าไปขายในช่องทางค้าปลีก อาทิ ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ ในอนาคตจากปัจจุบันขายในร้านสตาร์บัคส์เท่านั้น

“ตลาดจะเปลี่ยนมั้ย น่าจะโตขึ้นเรื่อย ๆพิสูจน์จากที่แบรนด์เหล่านี้ดาหน้าเข้ามา แสดงว่าตลาดยังไม่อิ่มตัว เดิมสตาร์บัคส์เจาะลูกค้ากลุ่มบน แต่วันนี้ไม่ใช่แค่ลูกค้ากลุ่มบนที่ดื่มเรา เพราะที่ผ่านมาเราเน้นขยายฐาน ทำให้ได้ลูกค้าที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะการรุกเข้าไปในต่างจังหวัด ปัจจุบันเรามีเปิดในต่างจังหวัด 62 สาขาจากทั้งหมด 179 สาขา และจากนี้ก็จะเน้นเปิดในต่างจังหวัดมากขึ้น”

ก่อนหน้านี้นายฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ในโอกาสเดินทางเข้ามาเปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชน (Community Store) ในประเทศไทย กล่าวว่า ไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สตาร์บัคส์ให้ความสำคัญ โดยตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้าจะขยายสาขาได้เท่าตัวคือมากกว่า 300 สาขาในอีก 5 ปีจากแต่เดิมจะขยายสาขาเพียงแค่ 12 สาขาต่อปีเท่านั้น

เพิ่มมุม ดริป มัดใจสาวก 

ล่าสุดยังได้เปิดตัว “สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ บาร์” (Starbucks Reserve Bar) มุมกาแฟเฉพาะสำหรับผู้ชื่นชอบกาแฟดำ ผ่านวิธีการชงกาแฟเฉพาะบุคคล หรือที่เรียกกันว่า “กาแฟดริป” ในราคาเริ่มต้นแก้วละ 95 บาท โดยจะคัดเมล็ดกาแฟหายากจากทั่วโลกมาให้บริการเพื่อสื่อถึงความพิเศษที่ให้แก่ลูกค้า

นางสุมนพินทุ์กล่าวว่า ปัจจุบันมีการเปิดมุมดังกล่าวใน 3 สาขา ได้แก่ หลังสวน บ้านสีลม และชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ อนาคตมีแผนขยายไปยังสาขาอื่น ๆ เพื่อตอกย้ำจุดแข็งของสตาร์บัคส์ในเรื่องเมล็ดกาแฟคุณภาพ ตรงนี้ถือเป็นการปรับตัวของบริษัทเพื่อรับกับกระแส “กาแฟดริป” ที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ ซึ่งถือเป็นบริการใหม่ของสตาร์บัคส์ที่เพิ่งเริ่มในต่างประเทศ และไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่เปิดมุมบริการดังกล่าว

“วันนี้มีคู่แข่งระดับโลกเข้ามา เราก็ต้องผูกใจลูกค้าให้ได้ ทุกคนคงมอง Short Term สั้น ๆ ในการรับมือวันนี้ เราอาจจะโชคดีที่ได้ฐานลูกค้ามายาวนาน 15 ปี สิ่งที่แตกต่างของแบรนด์สตาร์บัคส์กับแบรนด์อื่นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในไทย เป็นเรื่องความผูกพันและจงรักภักดี ที่ลูกค้ามีต่อสตาร์บัคส์ และสตาร์บัคส์มีต่อลูกค้า”

คาดปีหน้าแบรนด์ดังบุกไทยเพียบ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันไทยเป็นที่สนใจของแบรนด์กาแฟระดับโลกมากมาย ก่อนหน้านี้ “คอฟฟี่ คลับ” เบอร์ 1 ในออสเตรเลีย และ “ทัม แอนด์ ทัมส์” เบอร์ 1ในเกาหลี รวมถึง “ดีน แอนด์ เดลูก้า” และ “เดอะ คอฟฟี่บีน แอนด์ ทีลีฟ” ร้านกาแฟสไตล์คาเฟ่ชื่อดังจากอเมริกาได้ทยอยเข้ามาเปิดสาขาในไทยมาตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดคือแบรนด์ “คอสต้า” เบอร์ 1 ของประเทศอังกฤษที่เข้ามาเปิดสาขาแรกที่สยามพารากอนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าเปิดสาขาในไทยและกัมพูชารวมกัน 100 สาขา ใน 5 ปี

แหล่งข่าวจากวงการร้านกาแฟพรีเมี่ยมระบุว่า ปีนี้มีแบรนด์ชื่อดังเข้ามาหลายค่าย ส่วนใหญ่จะเป็นเบอร์ 1 ในประเทศต่าง ๆ และปีหน้าก็จะมีอีกหลายแบรนด์เตรียมเข้ามาชิงตลาดที่หอมหวนในไทย เท่าที่ทราบเร็ว ๆ นี้แบรนด์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นจะเข้ามาบุกตลาดด้วย ขณะเดียวกันแบรนด์ที่เข้ามาก่อนหน้านี้ก็เตรียมเดินหน้าขยายสาขา หรือมีโมเดลใหม่ ๆ อาทิ คอฟฟี่ คลับ ซึ่งเป็นแบรนด์ของค่ายไมเนอร์ ฟู้ด ก็เตรียมจะเปิดโมเดล “ไดรฟ์ทรู” เร็ว ๆ นี้

ทรูคอฟฟี่ปรับกลยุทธ์ชิงเค้ก 

นายวิรัตน์ เตชะนิรัติศัย อดีตรองกรรมการผู้จัดการสายธุรกิจค้าปลีก ผู้ดูแลธุรกิจซีพี ฟู้ดเวิลด์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันตนได้รับมอบหมายให้มาดูแลธุรกิจภาพรวมของ “ทรูคอฟฟี่” ซึ่งจะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในปีหน้า โดยการแตกธุรกิจทรูคอฟฟี่ออกมาจากแบรนด์แม่เพื่อรุกธุรกิจร้านกาแฟเต็มสูบ จากเดิมที่จะเป็นเพียงเครื่องมือทางการตลาดอันหนึ่งของทรูตามคอนเซ็ปต์

“คอนเวอร์เจนซ์” อย่างไรก็ตามจากการเติบโตของธุรกิจร้านกาแฟในไทย ทำให้บริษัทเล็งเห็นโอกาสสร้างธุรกิจนี้ให้เติบโต พร้อมขยายทั้งในและต่างประเทศ และแข่งกับอินเตอร์แบรนด์ที่ดาหน้าเข้ามารุกตลาดไทยในขณะนี้

“ปีนี้เราเห็นร้านกาแฟชื่อดังจากประเทศต่าง ๆ เข้ามามากมาย ทำไมทรูคอฟฟี่ซึ่งอยู่ในตลาดกาแฟพรีเมี่ยมมา 8 ปีจะทำไม่ได้ ซึ่งสิ้นเดือนนี้เราจะมีครบ 100 สาขา ตอนนี้ถือเป็นเบอร์ 2 ของตลาดกาแฟพรีเมี่ยมรองจากสตาร์บัคส์ ปัจจุบันตลาดนี้มีมูลค่า 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของตลาดร้านกาแฟโดยรวม 30,000 ล้านบาท”

สงครามชิงทำเลทองปะทุปีหน้า 

นายวิรัตน์กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีร้านที่เปิดในทรูช้อป 50% อีก 50% เป็นคอฟฟี่ช็อปที่แยกออกมาต่างหาก โจทย์หลักจากนี้เปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคเมื่อนึกถึงทรูคอฟฟี่ ไม่ได้นึกถึงร้านมือถือ แต่นึกถึงความเป็นร้านกาแฟคั่วบดพรีเมี่ยม ทั้งนี้เชื่อว่าปีหน้าตลาดนี้จะแข่งขันอย่างรุนแรง ต้องวัดกันที่คุณภาพและรสชาติ ซึ่งแต่ละค่ายจะมีความแตกต่างกัน อยู่ที่ว่าใครสามารถถูกปาก ถูกใจคนไทยได้มากกว่า อีกสิ่งที่จะเห็นคือ ภาพของการแย่งชิงพื้นที่ทำเลทองเพื่อเปิดสาขา อย่างไรก็ตามมองว่าโอกาสยังมีอีกมาก ทำเลใหม่ ๆอาทิ มหาวิทยาลัย หรือการขยายตัวไปยังต่างจังหวัด

“เชื่อว่าตลาดปัจจุบันที่มีอยู่ 6,000 ล้านบาท ปีหน้าจะขยายเป็น 10,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน”

 

Partnership  : ประชาชาติธุรกิจ


แชร์ :

You may also like