
โดยมองเห็นช่องว่างและโอกาสในตลาด “บุฟเฟ่ต์สุกี้” ราคา 199 บาท ที่ในขณะนั้นไม่มีแบรนด์ไหนทำ จึงเปิดตัวด้วยราคานี้ เพื่อเข้าถึงตลาดแมสฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ทำให้ “สุกี้ตี๋น้อย” ก้าวมาอยู่แถวหน้า สร้างรายได้กว่า 7,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ในเวทีสัมมนา BITKUB SUMMIT 2025 by Tencent Cloud มหกรรมความรู้ด้านการลงทุน สุขภาพ และเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่สุดแห่งปี “คุณเฟิร์น-นัทธมน” เล่าว่าไม่คิดไม่ฝันว่า “สุกี้ตี๋น้อย” จะมาได้ถึงจุดนี้ จากจุดเริ่มต้นที่คิดทำธุรกิจ คือต้อง Scale ได้ ต้องยิ่งใหญ่ เพราะไม่ได้อยากเป็นเจ้าของร้านอาหารแค่ 1 ร้าน แต่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่ใหญ่และเติบโตได้
“การทำธุรกิจต้องไปต่อได้ เพราะมีพนักงานที่ต้องรับผิดชอบ ต้องทำธุรกิจให้พนักงานเห็นความมั่นคงของบริษัท แม้ตอนเริ่มต้นธุรกิจสุกี้ตี๋น้อย คิดแค่สร้างธุรกิจให้ตัวเอง แต่มาถึงวันนี้มีพนักงานต้องรับผิดชอบมากขึ้น จึงต้องทำให้ธุรกิจเติบโตต่อเนื่องไปเรื่อยๆ”
ปี 2569 สุกี้ตี๋น้อย เตรียมขยายสาขาจำนวนมาก วางแผนเปิดสาขาใหม่ทุกสัปดาห์ ปัจจุบันมี 90 สาขา มีทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ที่จะเริ่มเปิดปีในหน้า
หากดูตัวเลขรายได้และกำไร “สุกี้ตี๋น้อย” เติบโตมาต่อเนื่อง
– ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท
– ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท
– ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท
– ปี 2566 รายได้ 5,244 ล้านบาท กำไร 913 ล้านบาท
– ปี 2567 รายได้ 7,075 ล้านบาท กำไร 1,168 ล้านบาท
ปี 2568 คาดว่ารายได้แตะ 9,000 ล้านบาท และรายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาทในปี 2569
ตัวเลขรายได้ปีนี้ 9,000 ล้าน มากกว่าพอใจอยู่แล้ว เปิดตัวมา 8 ปี สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ เฟิร์นพอใจกับการสร้างธุรกิจสุกี้ตี๋น้อย เวลาไปเปิดสาขาที่จังหวัดไหน ลูกค้าตอบรับดีและเข้ามาต่อคิวใช้บริการ รู้สึกมีความสุขแล้ว

“การสร้างธุรกิจสุกี้ตี๋น้อย เราภูมิใจได้ระดับหนึ่งแต่ยังไม่พอใจ ยังต้องเรียนรู้ตลอดเวลา และต้องเก่งขึ้นอีกเยอะ เพราะบริษัทต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เฟิร์นเองก็ต้องเติบโต จากจุดเริ่มต้นชอบอาหารและอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากมีเงินใช้ อยากมีอิสระทางการเงินใช้จ่าย แต่วันนี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น คือต้องทำให้ธุรกิจมั่นคง การส่งต่อธุรกิจ และสร้างความยั่งยืน จึงต้องสร้าง foundation ให้ดี”
การแข่งขันในตลาดสุกี้ ที่ทุกแบรนด์ยังเติบโตได้ แสดงให้เห็นว่า “สุกี้” ไม่ใช่กระแส เชื่อว่าสุกี้ยังไปได้อีกไกล แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะสร้างการเติบโตได้อย่างไร จึงต้องทำให้มีมาตรฐานเหมือนกันทุกสาขา ทำระบบ IT infrastructure เสริมศักยภาพกับการเติบโต
ธุรกิจร้านอาหารใช้ “คน” เป็นหลัก แม้มีหุ่นยนต์เสิร์ฟ แต่การดูแลลูกค้าต้องใช้คน มองว่าธุรกิจร้านอาหารไม่ทางถูกแทนที่ด้วยเทคโลโลยีทั้งหมด แต่ AI มาช่วยเสริมศักยภาพกระบวนการทำงานหลังบ้านได้ โดยเฉพาะการขยายสาขาจำนวนมากในปี 2569
การทำมาร์เก็ตติ้งที่ได้ผลดีที่สุดของ “สุกี้ตี๋น้อย” คือการใช้ Facebook ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.2 ล้านราย โพสต์สเตตัสว่าวันนี้มีโปรโมชั่นอะไร ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่สื่อสารกับลูกค้าโดยตรงและได้เอนเกจเมนต์ดีที่สุด เพราะลูกค้าต้องการการสื่อสารที่ชัดเจนแบบตรงไปตรงมา เหมือนการพูดคุยกัน
การทำธุรกิจทุกอย่างมีปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จึงต้องมีเป้าหมายในชีวิตว่าทำไปเพื่ออะไร ตอนเริ่มต้นทำสุกี้ตี๋น้อย ทำเพราะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ การทำร้านอาหาร 1 สาขา ก็มีปัญหาอย่างหนึ่ง มีหลายสาขาก็มีปัญหาอีกแบบ จึงมองเป้าหมาย Goal เป็นหลัก และต้องไปถึงจุดนั้นให้ได้ จึงไม่เคยยอมแพ้ปัญหาที่เข้ามา เพราะรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร
“ถ้าเราไม่มีเป้าหมายจะไม่รู้ว่าจะสู้เพื่ออะไร เมื่อเจอปัญหาจะรู้สึกท้อ แต่ถ้าเราชัดเจนว่าจะทำอะไร จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง”
สิ่งสำคัญความสำเร็จของแต่ละคนไม่เท่ากัน การเป็นเจ้าของร้านอาหาร “สุกี้ตี๋น้อย” อาจมองว่าสำเร็จแล้ว มีความสุข หากเป้าหมายเราชัดเจน ก็ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร และให้มีความสุขกับเป้าหมายที่วางไว้และทำให้สำเร็จ
อ่านเพิ่มเติม




