HomeSponsoredAIS รวมพลัง “กัลฟ์-สวพส.-สวทช.” ปั้น 2 ชุมชนเป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน วัดผล SROI ที่จับต้องได้จริง

AIS รวมพลัง “กัลฟ์-สวพส.-สวทช.” ปั้น 2 ชุมชนเป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน วัดผล SROI ที่จับต้องได้จริง

แชร์ :

ทุกวันนี้ถ้าเราออกจากบ้านแล้วลืมมือถือ ชีวิตแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย หรือถ้าไม่ลืมมือถือ แต่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่มี ก็ไม่สามารถติดต่อสื่อสาร หรือเชื่อมต่อข้อมูลได้เช่นกัน แล้วลองนึกถึงคนในพื้นที่ห่างไกลที่ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง พวกเขาจะขาดโอกาสในการติดต่อสื่อสาร เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเข้าถึงบริการสาธารณสุขแค่ไหน นี่ยังไม่นับรวมการทำตลาดที่จะสร้างรายได้ให้กับชุมชมเพิ่มขึ้น จากจุดนี้เอง ทำให้ 4 หน่วยงานอย่าง AIS, กัลฟ์, สวพส. และสวทช. รวมพลังกัน และผุดโครงการ Green Energy Network for THAIs ขึ้น เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลให้กับชุมชนที่อยู่ห่างไกล

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ปัจจุบันโครงการ Green Energy Network for THAIs ได้เข้าไปติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมใน 6 ชุมชนแล้ว ทำให้คนในชุมชนไม่เพียงติดต่อสื่อสารได้สะดวก แต่หลายชุมชนยังต่อยอดสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้มากมาย ทั้งยังสามารถนำเครื่องมือ Social Return on Investment (SROI) มาวัดผลการทำงานจนออกมาเป็นตัวเงินได้อย่างชัดเจน ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ลงทุนไปนั้น สังคมได้ผลตอบแทนมากน้อยเท่าไหร่ เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพชัดมากขึ้น Brand Buffet พามาถอดวิธีคิดและการทำงานตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้

จากโปรเจคนางฟ้า สู่ความเป็นจริง

เดิมทีการทำโครงการเพื่อชุมชนหรือสังคม ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยการคิดโครงการ ต่อด้วยการวางแผนทำงาน และลงมือทำ แต่โครงการ Green Energy Network for THAIs ไม่ได้มองแค่นั้น เพราะต้องการทำครบวงจร โดยนำ PDCA มาเป็นกรอบทำงาน เริ่มตั้งแต่วางแผน ลงมือทำ และวัดผล เพื่อให้เห็นประสิทธิผล และการวัดผลนี้ก็ไม่ใช่แค่นับตัวเลขชุมชน หรือสิ่งของที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ แต่นำเครื่องมือวิจัย SROI มาประเมินผล ซึ่งทำให้เห็นประโยชน์ที่สังคมได้รับอย่างเป็นรูปธรรม

เนื่องจาก SROI นี้สามารถวัดประโยชน์ออกมาเป็นตัวเลขได้อย่างชัดเจน ถึงขนาดเทียบให้เห็นเป็นผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนที่ได้รับเลยทีเดียว ซึ่ง คุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) มองว่า เป็นการทำให้งานวิจัยไทยออกจากห้องแล็บ และกลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนที่จับต้องได้จริง

โดยจุดเริ่มต้นของโครงการ Green Energy Network for THAIs เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS บอกว่า ตอนนั้นเป็นช่วงที่โควิดระบาด ทำให้เห็นข่าวน้องๆ ในพื้นที่ต่างจังหวัดต้องวิ่งหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนออนไลน์ บางคนต้องไปเรียนในทุ่งนา จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้อยากจะนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปให้คนในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าเข้าถึง

จากนั้นก็คุยกับทีมวิศวกรเน็ตเวิร์กว่าหากจะทำ ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเท่าไหร่ ซึ่ง 5 ปีที่แล้ว ราคาสูงมาก อีกทั้งการลงทุนตั้งเสาสัญญาณเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรและรายได้ยังไม่ตอบโจทย์ ภายในทีมจึงเรียกโครงการนี้ว่า “โปรเจคนางฟ้า” เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดได้จริงเมื่อไหร่

กระทั่งปลายปี 2023 ได้พูดคุยกับกัลฟ์เรื่องนี้ กัลฟ์จึงบอกว่า ความฝันนี้เป็นจริงได้ เพราะบริษัทมีการทำโครงการ CSR เพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดในพื้นที่ห่างไกลอยู่แล้ว โดย คุณธนญ ตันติสุนทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า รูปแบบจะเป็นการนำโซลาเซลล์ไปติดตั้งในพื้นที่สูงที่ขาดแคลนไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดตาก และเชียงใหม่ พอได้คุยกับ AIS อย่างจริงจัง จึงร่วมมือกัน เพราะเห็นว่าสามารถต่อยอดสร้างประโยชน์และโอกาสให้ชุมชนเป็นทวีคูณได้

“มันไม่ใช่แค่ไฟฟ้า แต่ยังรวมถึงระบบการสื่อสาร น้ำ และสาธาณสุขขั้นพื้นฐานที่ดีขึ้น ตลอดจนโอกาสที่จะตามมามากมาย เพราะเมื่อมีไฟฟ้า ก็สามารถต่อยอดในเรื่องสาธารณูปโภค การสื่อสารได้อีกมาก”

รวมพลังลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในสังคม

เมื่อมาลงลึกถึงวิธีทำงาน คุณสายชล บอกว่า ด้วยความที่ AIS ไม่ได้เชี่ยวชาญทุกอย่าง แต่เมื่อต้องการให้โครงการนี้ทำครบทุกด้าน จึงได้ผสานความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญอย่าง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) ซึ่งมีบทบาทในการนำความรู้ของโครงการหลวงมาพัฒนาชีวิตคนในชุมชนบนพื้นที่สูงที่มี 4,205 หมู่บ้านให้อยู่ดีมีสุข และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่มีความรู้ด้านการวิจัย และการใช้ SROI มาพัฒนาโครงการร่วมกันในครั้งนี้

ในปี 2024 โครงการ Green Energy Network for THAIs จึงเกิดขึ้นได้จริง โดยการทำงานสเตปแรกเริ่มจากการสำรวจปัญหาในพื้นที่ชุมชน โดย สวพส. จะลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านแต่ละชุมชน เพื่อให้เห็นปัญหา รวมถึงความต้องการของพื้นที่นั้นว่าอยากทำอะไร และขาดเครื่องมืออะไร ซึ่งเบื้องต้นพบข้อจำกัดหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ กว่าครึ่งยังไม่มีไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ จากนั้นก็นำมาจัดลำดับปัญหา เพื่อให้ AIS และกัลฟ์นำข้อมูลมาวิเคราะห์ พร้อมกับให้ทีมวิศวกรลงพื้นที่สำรวจสัญญาณอินเทอร์เน็ต ส่วนกัลฟ์จะพิจารณา Pain Point ของแต่ละชุมชน จนได้ 6 หมู่บ้านมาร่วมโครงการในปีแรก

สเตปต่อมา AIS และกัลฟ์ ได้นำอุปกรณ์โซลาร์เซลล์และสัญญาณโทรศัพท์ไปติดตั้งในชุมชน พร้อมกับให้ชาวบ้าน Adapt การใช้งานด้วยตนเองก่อน เพราะต้องการดูพฤติกรรม จนเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก เพราะคนไม่คุ้นเคยกับการใช้มือถือ ทำให้ไม่ได้ Engage กับอินเทอร์เน็ตมาก จึงส่งทีมเข้าไปให้ความรู้ ทั้งการใช้งานมือถือ ภัยออนไลน์ และการใส่ใจสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง สวพส.ยังส่งเสริมอาชีพที่เหมาะกับชุมชน เพื่อให้ชุมชนอยู่รอดได้ด้วยตนเอง

ทุกการลงทุน 1 บาท สร้างประโยชน์คืนสังคมได้ 2.37 บาท

หลังจากให้ชาวบ้านได้เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตมา 1 ปี สเตปต่อมาคือ การวัดผล ในเบื้องต้น คุณสายชล บอกว่า ได้นำร่อง 2 หมู่บ้านก่อน นั่นคือ บ้านมอโก้โพคี จ.ตาก และบ้านดอกไม้สด จ.ตาก เพราะเป็น 2 หมู่บ้านแรกๆ ที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ และสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้คนในชุมชนได้ใช้ไฟฟ้าและโทรศัพท์พอสมควร จึงร่วมกับ สวทช. นำเครื่องมือ SROI มาวัดผลการทำงาน ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 10% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งผลวิจัยพบว่า จากการลงทุนจำนวน 3.6 ล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนทางสังคมกลับมากว่า 8.6 ล้านบาท หรือ ทุกการลงทุน 1 บาท สร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ 2.37 บาท

เมื่อมาดูในแต่ละมิติ ด้านเศรษฐกิจจะพบว่า ประชาชนมีรายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากการขายผลผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ประกอบกับการทำตลาดแบบออนไลน์ ทำให้กำหนดราคาได้เอง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ยกตัวอย่างหมู่บ้านมอโก้โพคี ที่มีความโดดเด่นเรื่องการผลิตกาแฟ คุณชาญชัย ทรัพย์ประมาณ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เดิมทีขายเฉพาะเมล็ด แต่พอกัลฟ์เข้าไปก่อสร้างโรงสีกาแฟโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้ ทำให้ชาวบ้านแปรรูปกาแฟได้ ส่งผลให้ราคาเพิ่มเป็น 280 บาท จากราคา 100 บาท

ด้านสังคม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการสุขภาพได้มากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่สามารถใช้โทรศัพท์ติดต่อโรงพยาบาลได้รวดเร็ว จากเดิมเวลาเจ็บป่วยต้องใช้เวลาเดินทางถึง 4 ชั่วโมงกว่าจะถึงอนามัยใกล้สุด ทั้งยังสามารถเก็บรักษายาและวัคซีนในตู้เย็นจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้นานขึ้นด้วย รวมถึงช่วยให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น ครูสามารถเตรียมการสอนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนักเรียนก็สามารถเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ ยกตัวอย่างบ้านดอกไม้สด คุณอภิชาต พนารัตน์ธารา  ผู้ใหญ่บ้าน บอกว่า หลังจากมีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ช่วยเปิดโลกทางการศึกษาให้ชาวบ้าน ครู และเด็กๆ ได้หาความรู้เพื่อเติมในสื่อดิจิทัลได้หลากหลาย แถมยังลดเวลาและประหยัดค่าเดินทางของครูที่ต้องลงจากเขามาประชุมหรือรับฟังนโยบายในเมือง พอมีอินเทอร์เน็ตก็ทำให้ประชุมออนไลน์ได้

ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ เนื่องจากไฟฟ้ามาจากพลังงานสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์ และยังลดการเกิดไฟป่า เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ทำไร่ข้าวโพด ทำให้มีการเผา พอมีสัญญาณโทรศัพท์ ก็สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น

ขยายความเท่าเทียมสู่ 30 ชุมชนใน 5 ปี

แม้ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนจะออกมาดี แต่ ดร.เพชรลดา อยู่สุข รองผู้อำนวยการด้านบริหารจัดการ สวพส. มองว่า นี่เป็นผลวิจัยปีแรกเท่านั้น หากทำงานอีก 2-3 ปี ควบคู่กับการส่งเสริมอาชีพและทรัพยากรให้ชาวบ้านมากขึ้น จะทำให้มูลค่าการตอบแทนทางสังคมสูงกว่า 2.37 อย่างแน่นอน

เช่นเดียวกับคุณสายชล ยอมรับว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาในปีแรกถือว่าเกินเป้าหมายเหมือนกัน เพราะความตั้งใจแรกของโครงการไม่ได้มองเรื่อง Commercial อยู่แล้ว จึงอาจไม่มีจุดคุ้มทุนขนาดนั้น แต่พอลงมือทำจริงๆ แต่ละแกนที่ออกมาค่อนข้าง Effective และเชื่อว่า หากทำต่อเนื่อง 3-5 ปี จะเห็นประโยชน์ที่สังคมได้รับในเรื่องใหม่ๆ และลึกมากขึ้น เช่น ระบบสาธารณสุข ช่วยเซฟชีวิตคนได้เท่าไหร่ เป็นต้น

โดยหลังจากนี้จะนำผลวิจัยนี้มาเป็นเข็มทิศ เพื่อพัฒนาและต่อยอดการทำงานในชุมชนบนพื้นที่สูงต่อไป เช่น การนำโดรนมาใช้ในการขนสินค้าลงมาพื้นที่ราบ โดยเฉพาะพืชผัก ซึ่งจะช่วยให้ลดการเสียหาย และทำให้ผลิตภัณฑ์ขายได้ราคาสูงขึ้น รวมถึงการทำระบบการเรียนรู้ เพื่อให้คนบนพื้นที่สูงและที่ราบสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ได้ โดยหัวใจสำคัญคือ ต้องเกิดการสื่อสาร 2 ทาง เพราะจะได้รู้ฟีดแบ็คการใช้งาน ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการวางระบบ ควบคู่กับการขยายการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกลบนที่สูงให้มากขึ้น โดยมีแผนจะเพิ่มเป็น 30 ชุมชนใน 5 ปี หรือ ปีละ 6 แห่ง

SROI จึงไม่ใช่เครื่องมือวัดผลที่ทำแล้วจบไป แต่ยังกลายเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนา ESG ขององค์กรต่างๆ ที่จับต้องได้ ตลอดจนยังเป็นต้นแบบที่ทำให้ AIS สามารถนำไปปรับใช้กับโครงการอื่นๆ ในอนาคตต่อไป ความสำเร็จของโครงการ Green Energy Green Network for THAIs ในวันนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และเป็นตัวอย่างของการรวมพลังที่ไม่เพียงช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัลของคนไทยอย่างเท่าเทียม แต่ยังทำให้งานวิจัยไทยเป็นมากกว่าองค์ความรู้ที่อยู่บนหิ้งแบบเดิมๆ


แชร์ :

You may also like