ปี 2568 ถือเป็นปีท้าทายของ “ไปรษณีย์ไทย” จากสถานการณ์เศรษฐกิจและการแข่งขัน แต่จากการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจขนส่งกลับมาทำกำไรนับตั้งแต่ปี 2566 ถึงไตรมาแรกปีนี้กำไรเติบโต 227% เตรียมปรับโฉมสู่ Tech Post เต็มรูปแบบ
จากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการค้าออนไลน์ยังคงมีการขยายตัวทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซมีความคึกคัก กลุ่มค้าปลีกยังมีแนวโน้มเติบโต ทำให้ไตรมาสแรกปี 2568 “ไปรษณีย์ไทย” มีรายได้รวม 5,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.83% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ทำกำไรสุทธิ 534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 227% เป็นสัญญาณบวกจากมาตรการบริหารต้นทุนและรายได้ที่ดีขึ้น
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่าธุรกิจที่เติบโตเด่นชัด ได้แก่ กลุ่มบริการไปรษณีย์ในประเทศ รายได้เพิ่มขึ้น 20% กลุ่มบริการขนส่งและโลจิสติกส์รายได้เพิ่มขึ้น 13% ขณะที่ปริมาณชิ้นงานไตรมาสแรกปีนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2567 ราว 7.48% โดยบริการส่งด่วน EMS เพิ่มขึ้น 5.94%
สิ่งที่ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญมาตลอด คือ “การสร้างแบรนด์” โฟกัสที่บริการและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการ ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค เห็นได้จากการเติบโตของจำนวนพัสดุและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ปีนี้สามารถทำรายได้ต่อชิ้นในการส่งสูงขึ้นกว่าปีก่อน 10%
“แม้ไตรมาสแรกทำกำไรได้ดี แต่ปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนอีกมาก เราแข่งขันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จึงไม่สามารถทำธุรกิจแบบเดิมได้ ที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยจึงพัฒนาบริการส่งหลากหลายรูปแบบสอดคล้องกับภาคธุรกิจและไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นส่งด่วน EMS ส่งของชิ้นใหญ่ ส่งของสด ส่งเวชภัณฑ์ ส่งสิ่งมีชีวิต (ปลาสวยงาม) ล่าสุดส่งนมแม่ เพื่อสร้างโอกาสรายได้เติบโต”
ลงทุนไอที 1,500 ล้าน ปรับสู่ Tech Post
ปีนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของไปรษณีย์ไทย ที่จะปรับโฉมไปสู่ Tech Post เต็มรูปแบบ โดยวางแผนลงทุนระบบไอที 1,400 – 1,500 ล้านบาท ทำระบบโลจิสติกส์ Full Automation นำเทคโนโลยี AI มาใช้สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า โดยไตรมาส 3 เปิดตัวบริการ Digital Mailbox ลูกค้าจะเห็นสินค้าที่ส่งไปรษณีย์ผ่านมือถือก่อนสินค้าจริงมาส่ง เห็นชื่อผู้ส่ง วันส่ง และเปลี่ยนวันส่งได้ เพื่อสร้างความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ
ปลายปีนี้จะเปิดตัว Super App วางเป้าหมายผู้ใช้งาน 5 ล้านราย ทำให้มีดาต้าจำนวนมากที่จะพัฒนาระบบขนส่ง Last Mile ที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการจัดส่ง พัฒนารีเทล โดยมีฟีเจอร์แอป ThailandPostMart เข้ามาไว้ในซูเปอร์แอปนี้ด้วย และนำดาต้าพัฒนาบริการเชิงธุรกิจร่วมกับพันธมิตรและเอสเอ็มอี
นอกจากนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการทำ CRM มีฟีเจอร์ที่ยกระดับความต้องการของลูกค้าในการใช้บริการกับไปรษณีย์ไทย
หนุน SME ส่งสินค้าต่างประเทศ
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจไตรมาสแรกจะส่งสัญญาณเชิงบวกกับไปรษณีย์ไทย แต่หนึ่งในความเสี่ยงด้านนโยบายระหว่างประเทศที่ต้องจับตา คือ นโยบายทางการค้าในรูปแบบนโยบายภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff Policy) ของสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อการขนส่งระหว่างประเทศทั่วโลก
โดยได้วางกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโต รองรับความเสี่ยงกลุ่มธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ และสร้างระบบนิเวศใน SME ไทย ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่อาจได้รับผลกระทบด้านการส่งออก ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือกับสหภาพสากลไปรษณีย์ การไปรษณีย์สมาชิกอาเซียน ASEANPOST โดยไปรษณีย์ไทยมีความโดดเด่นจากเส้นทางการขนส่งที่หลากหลาย ทั้งการขนส่งทางอากาศ ทางภาคพื้น ทางราง และทางเรือ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการขนส่งไปยังประเทศปลายทางต่าง ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) ซึ่งเป็นบริการสำหรับผู้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon.com ช่วย SME มีช่องทางขายบนแพลตฟอร์มดังกล่าว เพื่อรับมือการแข่งขันจากการนำเข้าสินค้าผ่านทาง Cross-Border E-Commerce จากจีน และเป็นการสร้างปริมาณการส่งสินค้าจาก SME ไทยให้กับไปรษณีย์ไทยอีกด้วย ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยให้บริการส่งระหว่างประเทศครอบคลุม 205 ปลายทาง 193 ประเทศ
ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้าน
ดร.ดนันท์ กล่าวว่าแม้จะมีปัจจัยหลายด้านที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบกับการดำเนินงานของไปรษณีย์ไทย แต่ในช่วงไตรมาสที่ 2 – 4 นี้ ยังคงมีการวางกลยุทธ์เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจอย่างรอบด้าน โดยจะยังคงใช้จุดแข็งและทรัพยากรที่มีอยู่ ได้แก่
– บริการส่งด่วน EMS ที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ B2C และ C2C โดยเฉพาะในตลาดอีคอมเมิร์ซที่ต้องการความรวดเร็วและเชื่อถือได้ ด้วยเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศที่สามารถให้บริการถึงปลายทางได้แม้ในพื้นที่ห่างไกล
– บริการขนส่งที่หลากหลายครอบคลุมกิจกรรมทางธุรกิจได้อย่างครบวงจร ซึ่งมีความครอบคลุมทั้งการส่งสิ่งของขนาดใหญ่ สินค้าควบคุมอุณหภูมิ ยาและเวชภัณฑ์ นมแม่ สินค้าทางการเกษตร ปลาสวยงาม สินค้าอัตลักษณ์ไทย สินค้าไลฟ์สไตล์ ฯลฯ รวมทั้งยังมีการให้บริการทั้งในรูปแบบ B2B , B2C , C2C
– บริการทางการเงิน โดยไปรษณีย์ไทยมีจุดแข็งด้านเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงได้ร่วมกับพันธมิตรด้านการเงินในการเป็นตัวแทนธนาคาร (Banking Agent) ในการให้บริการด้านการเงินครบวงจร
– การให้บริการกลุ่มค้าปลีก เน้นดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Omni-Channel เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าทุกขั้นตอน ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การเลือกซื้อสินค้า การชำระเงิน การจัดส่งสินค้าไปจนถึงการบริการหลังการขาย โดยประเภทสินค้าที่มีให้บริการ คือ สินค้าไปรษณีย์ประเภทกล่องซองสำหรับผู้ประกอบการ และเกษตรกร สินค้าไปรษณีย์ประเภทสินค้าที่ระลึก และสินค้า House Brand ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เช่น กาแฟ น้ำดื่ม ข้าวสาร นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม ThailandPostMart ตัวท็อปใกล้ไกลส่งให้ถึงมือที่คัดสรรสินค้าอุปโภค บริโภค ซึ่งเป็นสินค้าดีจากทั่วประเทศมาจำหน่ายและส่งตรงถึงผู้บริโภคมากกว่า 20,000 รายการ
– การขยายบริการรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สนับสนุนภาคธุรกิจไทยที่มีศักยภาพก้าวสู่ตลาดโลก โดยการสร้างพันธมิตรในกลุ่มแพลตฟอร์ม eBay และ Amazon FBA ให้บริการคลังสินค้าสำหรับผู้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ที่ต้องการขนส่งข้ามพรมแดน
– กลุ่มธุรกิจ Post Next เดินหน้าสู่ Information Logistics ในไตรมาส 3 ปี 2568 บริการ “Prompt Post” จะมีการอัปเกรดฟีเจอร์เพิ่มขึ้น คือ Digital Postbox การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัยและเป็นส่วนบุคคล Passport Tracking การติดตามสถานะพาสปอร์ต Prompt Pass เชื่อมข้อมูลภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการในการทำธุรกรรมต่างๆ ทางออนไลน์ด้วยความรวดเร็ว Prompt Vote ระบบการลงคะแนนเสียงออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่ง่าย ปลอดภัย และมีระบบบันทึกผลการลงคะแนนที่น่าเชื่อถือ
– เครือข่ายบุรุษไปรษณีย์กว่า 20,000 คน ที่มีความพร้อมในการรองรับความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งปัจจุบันกำลังขยายการให้บริการเครือข่ายพี่ไปรฯ Postman Cloud ที่สามารถสร้างประโยชน์ได้เพิ่มขึ้นจากในปีที่ผ่านมา เช่น ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ ปี 2568
โดยปีนี้ไปรษณีย์ไทย วางเป้าหมายรายได้ 22,000 ล้านบาท โดยเป็นอีกปีที่ทำกำไรต่อเนื่อง นับจากปี 2566
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE