ช่วงหลายปีที่ผ่านมา “เครื่องสำอางแบรนด์ไทย” กลายเป็นหนึ่งไอเทมที่ได้รับความนิยมทั้งจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจ โดยชื่อของ HER HYNESS (เฮอร์ ไฮเนส) คือหนึ่งในแบรนด์ไทยในใจของใครหลายคน โดยมีฮีโร่โปรดักต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด แผ่นมาร์กสีดำในตำนาน ที่ครองใจลูกค้าจนสามารถขึ้นแท่นแบรนด์สกินแคร์คลีนบิวตี้ (Clinically-Proven Clean Beauty) ในใจใครหลายคนได้สำเร็จในเวลาเพียงไม่กี่ปี
Brand Buffet พาทำความรู้จัก HER HYNESS (เฮอร์ ไฮเนส) สกินแคร์สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จในตลาดความงามเมืองไทย แบรนด์ที่กล้าต่อกรกับเคานท์เตอร์แบรนด์จนสามารถเข้าไปอยู่ในใจลูกค้า จนสามารถทำยอดขายพันล้านในเวลาเพียง 8 ปี ถึงที่มาและกลยุทธ์ความสำเร็จทั้งที่ผ่านมาและจากนี้ไป
HER HYNESS (เฮอร์ ไฮเนส) ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 2015-2016 โดย คุณกัญญฉัชฌ์ เลิศธนไพบูลย์ , คุณเจฟ เลิศธนไพบูลย์ และ คุณปิยะภาพ เลิศธนไพบูลย์ แรกเริ่มเดิมทีมีชื่อว่า “Her Highness” มาจากการใช้ Royal Jelly (นมผึ้ง) ซึ่งเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงเป็นส่วนผสมหลัก จึงตั้งชื่อให้สะท้อนถึงความพรีเมี่ยม ก่อนตัดสินใจรีแบรนด์เป็น HER HYNESS ในปี 2020
“Her Hyness เกิดจากจุดเริ่มต้นที่ตัวเองแพ้เครื่องสำอาง มีคนแนะนำให้กิน Royal Jelly (นมผึ้ง) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ช่วยในการบำรุงดูแล และเห็นผลดี จากนั้นจึงกลายมาเป็นวัตถุดิบหลักในผลิตภัณฑ์ของเรา โดยตอนแรก ตั้งชื่อ Her Highnes จากนั้นเปลี่ยนชื่อ (รีแบรนด์) มาเป็น Her Hyness ในการทำตลาด” คุณแอล – กัญญฉัชฌ์ เลิศธนไพบูลย์ กล่าวถึงที่มาของชื่อแบรนด์
ที่ผ่านมาแบรนด์ HER HYNESS เน้นการทำตลาดแบบ “ปากต่อปาก” โดยไม่ใช้สื่อโฆษณาใดๆ แต่แบรนด์ก็ได้รับความนิยม และเป็นที่พูดถึง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มครีมกันแดด เซรั่ม และชีทมาส์ก (มาร์กสีดำในตำนาน) จนมียอดขายหลักร้อยล้านบาทในปี 2020 และมียอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาท ในปี 2021 พร้อมพาแบรนด์ติดตลาด มียอดขายทุกช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์
เปิด 5 กลยุทธ์เจาะตลาดความงาม พร้อมดึง “หลิงหลิง” นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์ครั้งแรก
ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้เติบโตไปอีกขั้น ล่าสุด HER HYNESS ได้เดินหน้ากิจกรรมการตลาดเชิงรุก ด้วยการดึง “หลิงหลิง-ศิริลักษณ์ คอง” นั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์เป็นคนแรกและครั้งแรกของแบรนด์ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดด “UV Adapt Hya Water Sunscreen SPF50+ PA++++” ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนของ HER HYNESS ว่าแบรนด์กำลังพูดกับผู้บริโภคที่กล้าคิด กล้าเลือก และใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจ ขยายและส่งต่อพลังนั้น ไปยังทุกคนที่พร้อมเป็นตัวของตัวเองในแบบที่ดีที่สุด และจะเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์คลีนบิวตี้ระดับโลกแบรนด๋ไทย โดยแฟนๆ จะได้เห็นโฆษณาทั่วกรุงเทพ กลางเดือนนี้ และกิจกรรมกับแฟนคลับ ลูกค้า และออนกราวนด์อีเวนต์
โดย คุณแอล – กัญญฉัชฌ์ เล่าว่าก่อนที่จะเลือก “หลิงหลิง” มาเป็น Brand Ambassador ทาง HER HYNESS ได้ติดต่อเข้าไป เพื่อขอ “ดูตัว” ทำการพูดคุยกับหลิงหลิง ก่อนที่จะตัดสินใจว่า นี่แหละรักแรกพบ! จนกลายเป็น BA คนแรกของแบรนด์
นอกจาก “หลิงหลิง” พรีเซ็นเตอร์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดด ที่จะมาปลุกยอดขายพร้อมสร้างกระแสให้แบรนด์แล้ว ปีนี้ HER HYNESS ยังดำเนินแผนงานเชิงรุกในปีนี้ ยังวาง 5 กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่
1. ขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยการวาง Brand Position ที่เอื้อต่อการเติบโตระยะยาวและระดับโลก (Think Ahead Positioning)
HER HYNESS เลือกวาง Brand Position เป็น “Clinically proven clean beauty” มาตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว จากการที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมบิวตี้ระดับโลกมาก่อนของผู้ก่อตั้ง ทำให้มองเห็นเทรนด์ความงามที่จะเติบโตในระยะยาว
รายงานจาก Euromonitor ปี 2025 เปิดเผยว่า เทรนด์ความงามแบบ “การผ่านการทดสอบมาตรฐานคลีนิก” และ “คลีนบิวตี้” มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
- ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการผ่านการทดสอบมาตรฐานคลินิกเพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2019 เป็น 18% ในปี 2023 และให้ความสำคัญกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2019 เป็น 18% ในปี 2023
- 40% ของผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับ “คลีนบิวตี้” คือเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผิวเป็นกิจวัตร ให้ความสำคัญกับคุณภาพผลิตภัณฑ์ และประสิทธิภาพการใช้มากที่สุด
- จำนวนผู้บริโภคกลุ่ม “คลีนบิวตี้” แบ่งตามประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย 59% อินเดีย 57% ไทย 56% แอฟริกาใต้ 53% ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีสัดส่วนที่สูง
- พฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์กลุ่ม “คลีนบิวตี้” ได้แก่ การให้ความสำคัญกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ การอ่านฉลาก ความมั่นใจต่อการทดสอบมาตรฐาน การเชื่อคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ การหาข้อมูลอย่างจริงจังก่อนซื้อ
- 48% ของผู้บริโภคกลุ่ม “คลีนบิวตี้” ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับพรีเมียม เช่นเดียวกับ 47% ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์พรีเมียมของแบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีจริงพอๆ กับภาพลักษณ์
2. ขับเคลื่อนแบรนด์ด้วย “วิชาทำเกิน” ทุ่มเกินมาตรฐานเพื่อให้ได้ของที่ดีจริง (Beyond Standard, Build Iconic Products)
ให้ความสำคัญกับกระบวนการวิจัยและพัฒนามากกว่าความเร็วในการออกสู่ตลาดผลิตภัณฑ์แต่ละตัวจะใช้เวลาอย่างต่ำ 12 เดือน และมีการทดสอบมากกว่า 40–50 สูตรก่อนจะสรุปออกเป็นสูตรจำหน่ายจริงทุกชิ้นผ่านการทดสอบจากแล็บที่ได้รับมาตรฐานทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย
3. ขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยการสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Seamless Brand Experience)
ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงยอดขายจากช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่ลงทุนสร้าง Brand Experience ที่สอดคล้องทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ปัจจุบันวางขายในทุกแพลตฟอร์มและร้านบิวตี้สโตร์ชั้นนำทั่วประเทศ และบริหารพอร์ตฟอลิโอทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ให้สมดุล เป้าหมายคือให้แบรนด์มีตัวตนที่ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในเส้นทางของผู้บริโภค
4. ขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยลูกค้าตัวจริง (Fan-Driven Growth)
เชื่อในพลังของ “ลูกค้าตัวจริง” คอนเทนต์ที่พูดถึงแบรนด์มาจากรีวิว แชท และโพสต์จากผู้ใช้จริงทั้งลูกค้าในประเทศไทยและลูกค้าต่างชาติ ซึ่งรวมถึง Influencer ระดับโลก ที่เลือกใช้ด้วยตัวเอง ทำให้แบรนด์เติบโตบนความน่าเชื่อถือจากประสบการณ์จริง และเป็นแบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภคตัวจริง
5. ขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยทีมงานที่มี Global Mindset (Teamwork with Global Mindset)
ให้ความสำคัญกับเรื่องบุคลากร นอกจากแบรนด์จะก่อตั้งโดยทีมผู้บริหารรุ่นใหม่มากวิสัยทัศน์ที่ล้วนมีประสบการณ์การศึกษาและการทำงานในองค์กรชั้นนำระดับโลกจากต่างประเทศมากมาย ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 350 คน มีทีม R&D ทั้งไทยและเทศโดยเฉพาะในการพัฒนาสินค้าแต่ละรายการ
ปัจจุบัน HER HYNESS มีผลิตภัณฑ์รวมแล้วกว่า 30 SKUs แบ่งเป็นสี่กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กันแดด, เซรั่มและครีมบำรุง, มาสก์, และเครื่องสำอาง โดยทิศทางที่ชัดเจนในปีนี้ คือ การขยายพอร์ตฟอลิโอครีมกันแดดมากกว่า 100% ซึ่งนับเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของแบรนด์ เพื่อตอบรับกับขนาดตลาดผลิตภัณฑ์กันแดดในประเทศไทยที่ 6.1 พันล้านบาท รเติบโต กว่า 7% จากปี 2021-2024 นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าจะตลาดจะเติบโตเพิ่มเป็น 7.5 พันล้านบาทในปี 2027 อีกด้วย
นอกจากนี้ HER HYNESS ยังมีเป้าหมายที่จะเป็น 1 ในแบรนด์ไทยที่มีการเติบโตไปถึงระดับโกลบอลแบรนด์ โดยปีนี้คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 40% จากปีที่ผ่านมา
“ยอดขายพันล้านคือจุดเริ่มต้นการเติบโต จากนี้ไปเราจะชาเลนจ์ตัวเองว่าทำไมเราไม่ทำยอดขาย 2,000-3,000 ไปจนถึงหมื่นล้านบาทให้ได้ในอนาคต และนั่นคือเป้าหมายที่เราจะทำต่อไป” คุณกัญญฉัชฌ์ เลิศธนไพบูลย์กล่าว