แม้ “ความไม่แน่นอน” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับธุรกิจมาตลอด และทำให้ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมรับมือเสมอ แต่การกลับมาอีกรอบของ “ทรัมป์” พร้อมกับนโยบายการค้าอเมริกาต้องมาก่อน (America First) อย่างเข้มข้น กลับสร้างความ “ผันผวน” ให้กับธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีสินค้าที่กำลังจะประกาศเพิ่มเติมในวันที่ 2 เม.ย.นี้ เพราะหากไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น ไม่เพียงจะส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรมของไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ยังจะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวช้า ให้ “น่าห่วง” ขึ้นไปอีก
ไทยอาจไม่รอด! 9 กลุ่มเสี่ยงจากภาษีทรัมป์
คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บอกว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้ “น่าห่วง” มาก เพราะเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง ทั้งดีมานด์นอกประเทศที่แย่ ดีมานด์ในประเทศก็ไม่ฟื้น รวมถึงนโยบายภาษีของทรัมป์ที่จะประกาศเพิ่มเติมในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ซึ่งไทยอาจจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเสี่ยงสูง จนทำให้หลายประเทศเรียกไทยว่าเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” (Sickman of Asia)
โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบทางตรงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าคือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก ส่วนรถยนต์ เหล็ก อลูมิเนียม สินค้าเกษตร อุปกรณ์ไฮเทค ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเชื้อเพลิง จะถูกกระทบทางอ้อมจากการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ที่กระจายสินค้าเข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจะฉุดให้การผลิตอุตสาหกรรมไทยในปีนี้เสี่ยงที่จะไม่โต หรือหดตัวราว 1% ซึ่งจะเป็นการ “ติดลบ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
ลดชั่วโมงทำงาน – ยอดปิดโรงงานลามสู่ “รายกลาง-ใหญ่”
นอกจากการส่งออกจะหดตัวแล้ว ปัญหาที่ตามมา คุณเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บอกว่า แรงงานในภาคการผลิตต่างๆ ยังมีความเสี่ยงด้านรายได้ที่ลดลง เพราะถูกลดชั่วโมงการทำงานต่อเนื่อง โดยพบว่า ชั่วโมงการทำงานปัจจุบันปรับลดลง 11% จากอดีตที่มีชั่วโมงการทำงานเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ขณะเดียวกัน ยังจะเห็นการปิดตัวของโรงงานเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มเห็นการปิดตัวของโรงงานในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า และรถยนต์มากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และที่น่าสนใจคือ เป็นการปิดตัวของโรงงานขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 100 ล้านบาทเพิ่มขึ้น จากเดิมการปิดโรงงานส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท
สอดคล้องกับ คุณรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บอกว่า หากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ จะเห็นการแข่งขันของตลาดรถยนต์ทั่วโลกรุนแรงมากขึ้น จากภาวะอุปทานรถยนต์ล้นเกิน เนื่องจากประเทศผู้ผลิตหลัก เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และเกาหลีใต้ พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ สูง ทำให้ประเทศเหล่านี้จะกระจายตลาดส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกรถของไทยและต่อเนื่องไปถึงการผลิตภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันพึ่งพาตลาดส่งออกสูงถึง 67% ของยอดการผลิตรถทั้งหมด จากก่อนโควิดอยู่ที่ 40-50%
โดยการแข่งขันที่สูงขึ้นจะยิ่งซ้ำเติมภาวะอุปทานรถยนต์ล้นเกินให้รุนแรงมากขึ้น จากปัจจุบันการผลิตรถยนต์สูงเกือบ 95 ล้านคัน แต่ยอดขายรถยนต์อยู่ที่ 82 ล้านคันเท่านั้น ซึ่งจะเห็นแนวโน้มนี้เพิ่มมากขึ้น และจะส่งผลให้การผลิตรถยนต์ลดลง และถ้าต่ำมากกว่า 60% อาจจะทำให้เกิดการ “ควบรวม” โรงงานหรือกิจการกับค่ายรถกันมากขึ้น รวมถึงราคารถยนต์ก็มีแนวโน้มจะปรับลดลงด้วย
ลุยหาตลาดใหม่ – ดึงคนมีเงินใช้จ่าย
จากทิศทางเศรษฐกิจที่ขาดปัจจัยบวก และมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังแทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ส่งผลให้คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.4% โดยได้รวมผลกระทบหากไทยโดนมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ อีก 10% ไว้แล้ว
คุณบุรินทร์ แนะว่า สิ่งที่ไทยและผู้ประกอบการต้องปรับตัวคือ การหาตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ เพราะนโยบายหลักของทรัมป์ต้องการนำงานกลับประเทศ และลดดุลการค้า ควบคู่ไปกับการหานโนยายมากระตุ้นให้เป็น Quick Win รวมถึงดึงคนที่มีรายได้สูงแต่ไม่ใช่จ่ายให้นำเงินออกมาใช้จ่าย และต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาในไทยมากขึ้น
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE
Photo Credit : Number 24 x Shutterstock Thailand พาร์ทเนอร์ชัตเตอร์สต็อกอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย (https://number24.co.th/)
#Number24xShutterstockThailand