แม้ทิศทางเศรษฐกิจปี 2025 ยังคงมีความท้าทาย หลายสำนักเศรษฐกิจได้สะท้อนปัจจัยลบที่กระทบกำลังซื้อ แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐที่ผ่านมา ผลักดันการจับจ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา
MI GROUP ชวนมองปัจจัยต่างๆ และคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ ยังก็มีอีกหลาย “ปัจจัยบวก” เข้ามา และอาจเป็น “ปีทอง” ของธุรกิจและผู้ประกอบการที่ตั้งรับและปรับตัวได้ดี สะท้อนมาถึงทิศทางเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ สรุป 10 ประเด็นสำคัญดังนี้
1. การพัฒนาของ AI อัจฉริยะ (Agentic AI) เปลี่ยนเกมธุรกิจไทย
จากยุค Chatbot ที่เป็น AI ยุคแรก พัฒนาเป็น Gen AI ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ AI ทั่วโลก โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่ยุคของ Agentic AI หรือ AI อัจฉริยะ ที่สามารถเรียนรู้ ปรับตัว ตัดสินใจเองได้ และช่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ คาดการณ์ว่า AI รูปแบบใหม่นี้ช่วยให้ธุรกิจไทยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดโอกาสใหม่ให้ธุรกิจ
ปีนี้เป็นปีที่ AI ไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” สำหรับธุรกิจไทย ใครเรียนรู้ใช้งานได้ก่อนก็จะชนะก่อน
2. อุตสาหกรรมอนาคต Data Center และ Cloud Service แห่ลงทุนในประเทศไทย
ประเทศไทยถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอาเซียนที่เป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีโครงการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมกว่า 50 โครงการ (ข้อมูลโดย BOI) จะสร้างงานในประเทศไทยจำนวนมาก
3. การท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง เป็น Quick Win ฟื้นเศรษฐกิจไทย
ปีนี้การท่องเที่ยวคึกคักอย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้วสูงขึ้น คาดการณ์เพิ่มขึ้น 13% หรือมีจำนวน 40 ล้านคน ใกล้เคียงปี 2562 ก่อนโควิด
ปัจจัยการเติบโตมาจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และ MICE ขยายตัวสูง นอกจากนี้การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมของประเทศไทย คาดว่านักท่องเที่ยว LGBTQ+ จะเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Wedding Destination สำหรับคู่รักจากทั่วโลก
4. ไทยขึ้นแท่น “ศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก” (Global Medical Hub)
มาตรฐานการแพทย์ระดับสากล และค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มค่าดึงดูด Medical Tourists และการลงทุนในอุตสาหกรรมสุขภาพ Wellness & Preventive Healthcare เติบโต สอดรับกับโครงสร้างพลเมืองโลกที่จะมีจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้น
5. Thai Cultural Content ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก
ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยโดยเฉพาะ Thai Cultural Content ในกลุ่ม T-Pop ได้รับความสนใจในตลาดต่างประเทศมากขึ้น ทั้งในจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มีโอกาสขยายตลาดไปละตินอเมริกาได้ ที่ผ่านมาคอนเทนต์บันเทิงในกลุ่มวัฒนธรรมสายวาย (BL) และ ยูริ (GL) ของประเทศไทยสร้างกระแสระดับโลกมาแล้ว
6. ไทยอาจได้รับอานิสงส์จากนโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน
ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” มีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เข้มงวดกับจีนมากขึ้น การเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าต่อจีนของสหรัฐฯ ส่งผลให้บริษัทข้ามชาติบางส่วนต้องหาทางเลือกใหม่ในการตั้งฐานการผลิต ขณะที่ประเทศไทยและอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นเป้าหมายสำคัญของการย้ายฐานการลงทุน
โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบหลายอย่าง เช่น ทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เหมาะกับการเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ ซัพพลายเชน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อาทิเช่น
– ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคที่แข็งแกร่ง (น้ำ พลังงานไฟฟ้า โลจิสติกส์)
– มีข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนการส่งออกต่ำกว่า ล่าสุดไทยได้ร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับ “เอฟตา” หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป
– นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ดึงดูดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการผลิตอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมายังไทย
– อุตสาหกรรมดิจิทัลและ AI ที่ต้องการเข้าถึงตลาดอาเซียน
7. เม็ดเงินโฆษณามูลค่า 92,048 ล้านบาท สื่อดิจิทัลเบอร์ 1
จากสถานการณ์ “ปัจจัยบวก” ดังกล่าว MI GROUP คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดปีนี้เติบโต 4.5% มูลค่าอยู่ที่ 92,048 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักสื่อดิจิทัล เติบโต 15% โดยเป็นสื่ออันดับ1 ครองเม็ดเงินโฆษณาสูงสุด (แซงสื่อทีวี) เป็นปีที่ 2 ด้วยมูลค่ารวม 38,938 ล้านบาท ส่วนเม็ดเงินโฆษณาสื่อดั้งเดิมทั้งทีวีและสิ่งพิมพ์ถดถอยต่อเนื่อง (ข้อมูลโดย MI LEARN LAB)
ปี 2025 สื่อดิจิทัล ครองสัดส่วน 42.3% ของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา ตามด้วย ทีวี 33.5% สื่อโฆษณานอกบ้าน 16.6%
8. “อินฟลูเอนเซอร์” แตะ 3 ล้านราย
หากมองเจาะไปที่สื่ออันดับ1 อย่างสื่อดิจิทัล สัดส่วนเม็ดเงินส่วนใหญ่ที่สุด หรือ 1 ใน 3 จะอยู่ที่การใช้ “อินฟลูเอนเซอร์” (รวมทั้งครีเอเตอร์ และ KOL) ที่มีตัวตนในแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ
ปีนี้ MI GROUP ประเมินจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในไทยน่าจะแตะ 3 ล้านราย หรือประมาณ 4.5% ของจำนวนประชากรไทย (จากปี 2024 อยู่ที่ 2 ล้านราย) โดยการเติบโตหลักมาจาก Micro และ Nano Influencers ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง (KOC) และพ่อค้า แม่ค้า นักขาย ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นที่เข้าร่วมทำ Affiliate Marketing กับแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อหารายได้เสริม
หลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการและแบรนด์ เน้นการสื่อสารการตลาดเพื่อดันยอดขายโดยตรงเป็นหลัก (Lower Funnel Marketing) จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตสูง ในขณะที่การสื่อสารการตลาดที่มุ่งการรับรู้และการสร้างแบรนด์ (Thematic Ad) ยังคงมีความสำคัญแต่แค่เป็นรอง
9. สินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดเพิ่มขึ้นในปีนี้
– สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการพักผ่อนหย่อนใจ อาทิ โรงแรม สายการบิน แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันท่องเที่ยว
– ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และโบรกเกอร์ประกัน
– วิตามิน อาหารเสริม และยา
– โฆษณาจากภาครัฐ (จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเชิงรุกที่ประกาศออกมาจำนวนมาก)
– การขนส่ง เช่น บริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ
– อาหารและสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง
– สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (สินเชื่อ)
10. สินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดลดลงในปีนี้
– E-Marketplace เช่น Shopee, Lazada (เน้นให้คูปองส่วนลด จัดโปรโมชันแทน)
– เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น้ำอัดลม กาแฟ
– ร้านอาหาร
– ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน (เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น เน้นทำโปรโมชันสร้างยอดขาย)
– ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร
สรุป ปี 2025 เป็นปีแห่งโอกาสและความท้าทาย ธุรกิจไทยต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งโอกาสจาก AI และดิจิทัล อุตสาหกรรมใหม่ที่เติบโต การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และ Soft Power ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ขณะเดียวกัน ปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันที่เข้มข้นยังเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE