HomeBig Featuredผ่ากลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch จาก “ไทยพาณิชย์” สู่เป้าหมาย No.1 Wealth Banking 

ผ่ากลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch จาก “ไทยพาณิชย์” สู่เป้าหมาย No.1 Wealth Banking 

SCB ประกาศ กลยุทธ์ปี 2567 "Digital Bank with Human Touch" สู่เป้าหมาย No.1 Wealth Banking 

แชร์ :

ทุกวันนี้ไม่ว่าธุรกิจอะไรจะเล็กหรือใหญ่ต่างถูกกระทบจากผลของ Digital Disruption ทั้งนั้น…มิหนำซ้ำยุคนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยภาวะวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกที่กระทบกันเป็นวงกว้าง ใครไม่ปรับตัวก็ต้องล้มหายตายจากไปในที่สุด 

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

SCB หรือ ไทยพาณิชย์ หนึ่งในธนาคารที่พยายามสลัดความเป็น Traditional Bank และปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งสมัย ซีอีโอ คุณอาทิตย์ นันทวิทยา ที่ได้ทำการสละยานแม่แล้วมาตั้งเป็นโฮลดิ้ง SCBX เพื่อเป็นมากกว่าธนาคาร  และมาสู่ยุคของซีอีโอใหม่ไฟแรงอย่าง คุณกฤษณ์ จันทโนท ที่มาพร้อมกลยุทธ์ “Digital Bank with Human Touch”  เพียง 1 ปีกว่าก็เริ่มโชว์ผลงานตัวเลขผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือน 2566 ธนาคารมีรายได้ 1.1 แสนล้านบาท เติบโตจาก 9.9 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2565 และมีกำไรสุทธิ 3.66 หมื่นล้านบาท เติบโต 21% ซึ่งเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การควบคุมค่าใช้จ่าย และ การขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น

กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์

 

ดันรายได้จากช่องทาง Digital  มุ่งสู่ Digital Banking เต็มตัว

ตัวเลขผลดำเนินการ 9 เดือนข้างต้นเป็นเพียงแค่ “น้ำจิ้ม”  ภารกิจจานหลักต่อไป คุณกฤษณ์ จันทโนท ซีอีโอฯ อธิบายว่า  คือ ต้องผลักดันรายได้จาก Digital เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบัน 7% ให้เป็น 25% ให้ได้ภายในปี 2025 ซึ่งจะทำให้ SCB รุดหน้าไปมากกว่าดิจิทัลแบงก์ใหม่ๆ เพราะการมีรายได้จากช่องทางดิจิทัลเป็น 1 ใน 4 ของรายได้รวมเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงว่าช่องทางดิจิทัลมีความมั่นคงสำหรับการเป็น Digital Banking

“รายได้จากดิจิทัลจะต้องเพิ่มเป็น 1 ใน 4 ของรายได้รวม ซึ่งจะทำให้เราก้าวหน้ากว่าดิจิทัลแบงก์รายใหม่ๆ ในตลาด กว่าจะตามเราทันก็คงต้องใช้เวลา 5 ปีหรือ 10 ปี นอกจากนี้  อยากเห็นพนักงานไทยพาณิชย์และผู้บริหาร มองโจทย์ธุรกิจใหม่ว่าจะไปแบบเดิมไม่ได้ ต้องไปดิจิทัลอย่างสุดโต่ง ตอนที่รับตำแหน่งรายได้ดิจิทัลอยู่ที่ 3-4% การที่จะทำเป้าหมายที่ 25%ถือว่าท้าทายมาก แต่เชื่อว่าเราจะทำได้สำเร็จ”

ตอนผมเข้ามาพนักงานไทยพาณิชย์ยังกังวลว่าอนาคตไปยังไงต่อ เพราะมี SCBX ด้วย…. ขอให้มั่นใจธุรกิจธนาคาร SCB อยู่คู่กับคนไทยไปอีกร้อยปีข้างหน้า โลโก้ใบโพธิ์ยังไงก็ไม่หาย  แต่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความร่วมสมัย ถ้าพนักงานสนุก สามัคคี สำเร็จ ย่อมทำให้ ลูกค้าจะได้รับบริการที่ดี เมือเป็นเช่นนั้นย่อมทำให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นเก้าอี้ขาที่ 3 มีความสุขเพราะได้รับการปันผลที่ดี มีความสุขกับผลประกอบการที่ดีของไทยพาณิชย์

 

 ทุ่ม 8,000 ล้าน ยกเครื่องระบบ Core Banking ให้ล้ำสุดๆ 

การที่จะทำให้ไปสู่เป้าหมาย Digital Revenue ถึง 25% ของรายได้รวมได้นั้น ระบบและเทคโนโลยีต่างๆหลังบ้านของธนาคารมีความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นพื้นฐานหลักจึงต้องทันสมัยและมีความชาญฉลาดมาก เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาปลั๊กอินด้วย และ ความต้องการของลูกค้าในอนาคตด้วย  SCB จึงทุ่มงบในการเปลี่ยนระบบใหม่ 8,000 ล้านบาทสำหรับปีหน้า

ระบบและเทคโนโลยีหลังบ้าน หรือ Core Banking ของ SCB  เดิมใช้ Cobalt systems มากว่า 10 ปี ซึ่งเป็นระบบค่อนข้างเก่า และไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีเท่าที่ควร  SCB จึงเตรียมยกเครื่องระบบใหม่ครั้งใหญ่ เพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพของระบบให้ดียิ่งขึ้น บวกกับสามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆในอนาคตด้วย  เพื่อให้เป็นไปเป้าหมายสูงสุด คือ Customer Centricity อย่างแท้จริง

ปัญหาของ Core Banking เดิมมีระบบภายใน 764 ระบบที่เชื่อมต่ออย่างซับซ้อน ซึ่งทำให้การพัฒนาบริการใหม่ๆเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หรือ ระบบใดระบบนึงมีปัญหาอาจจะส่งผละกระทบพ่วงไประบบอื่นๆด้วย โดย Core Banking ใหม่จะทำให้ระบบทันสมัยและรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งจะส่งผลให้ลดจำนวนระบบภายในต่างๆได้ลงเหลือ 100 กว่าระบบ  นอกจากนี้ Core Banking ใหม่ยังส่งเสริมให้ระบบ AI ฉลาดมากขึ้นในการเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ  และรวมไปถึงสามารถคิดโปรดักท์ใหม่ๆให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนได้เอง

คุณอรพงศ์ เทียนเงิน ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Technology ธนาคารไทยพาณิชย์

คุณอรพงศ์ เทียนเงิน ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Technology ธนาคารไทยพาณิชย์

คุณอรพงศ์ เทียนเงิน ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Technology ธนาคารไทยพาณิชย์ เสริมอีกว่า “ในอดีตที่พื้นฐานของระบบเป็นแบบนั้นทำให้ Customer Centricity ที่เป็นเป้าหมายของเรามันเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นการเปลี่ยน Core Bank ตอนนี้มันเป็นโอกาสให้เราทำในสิ่งที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ ให้เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นในอีก 4 ปีข้างหน้า โลกทั้งหลายที่เราคุยในวันนี้ เป้าหมายของเรา คือ ต้องทำให้มันเกิด”

ปีหน้างบลงทุนด้านไอทีของเราอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท และจะต่อเนื่องด้วยระดับนี้ต่อไปอีก 3-4 ปี เราเชื่อว่าสิ่งที่ตั้งเป็น Vision วันนี้ ด้วยการเงินลงทุนที่ดี และด้วยผลกระทบต่อระบบใหญ่ๆ ที่เราจะเปลี่ยน เราเชื่อว่าจะเปลี่ยนโลกธนาคารดังที่เราเคยฝันว่าจะทำแบบนี้มานาน

 

มุ่งสู่เป้าหมาาย No.1 Wealth Banking 

นอกจากลงทุนด้านระบบ Core Banking ให้ทันสมัยแล้ว อีกหนึ่งเป้าหมายใหญ่ คือ ผลักดันให้ SCB กลายเป็นเบอร์หนึ่งของผู้ให้บริการบริหารความมั่งคั่ง หรือ  Wealth Banking หากสำเร็จก็จะกลายเป็น Growth Engine สำคัญที่ทำให้ SCB เติบโตได้อย่างมั่นคง

โดยปัจจุบัน Wealth Banking มีลูกค้าอยู่กว่า 500,000 ราย รวมสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการ (AUM) กว่า 1.6 ล้านล้านบาท ใน SCB PRIVATE BANKING (AUM มากกว่า 50 ล้านบาท) , SCB FIRST (AUM 10-50 ล้านบาท) , SCB PRIME (AUM 2-10 ล้านบาท) และรวมถึงบริษัทร่วมทุนใหม่ที่ให้บริการดูแลนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ (Offshore) ผ่าน ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ (AUM 100 ล้านบาทขึ้นไป)

เพื่อให้ถึงเป้าหมาย No. 1 Wealth Banking ยังเตรียมขยายไปยังลูกค้าที่มีศักยภาพในกลุ่มมั่งคั่ง (Wealth Potential)  เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาวและเป็นไปได้สำหรับทุกคน (Wealth for Everyone) มุ่งเน้นการมอบทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนพื้นฐานที่เข้าถึงง่าย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ประกันหรือกองทุน เป็นต้น  และจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นตัวช่วยในการมอบทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นหลัก

โดยตั้งเป้าหมายความเป็นที่หนึ่งในธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่ง AUM ต้องเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 20% จากปัจจุบันที่เติบโตเฉลี่ย 10%

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์

 

หมัดเด็ด SCB Julias Biar ยกระดับความมั่งคั่งขั้นกว่า 

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ (SCB Julius Baer) จึงกลายเป็นหัวหอกสำคัญในการเจาะกลุ่ม Wealth หรือ ลูกค้า High-net-worth ในไทยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และ มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นด้วย SCB Julius Baer เข้ามาให้บริการพร้อมชูจุดเด่นเรื่องบริการครบวงจร Wealth Management ทั้งการลงทุนทั้ง Onshore และ Offshore  พร้อมกับเข้าถึงทีมผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพระดับสากลจากจูเลียส แบร์ (สวิสเซอร์แลนด์) รวมถึงทีม Estate Planning & Family Office ของธนาคารไทยพาณิชย์ได้อีกด้วย ซึ่งจะยกระดับความมั่งคั่งให้กับลูกค้าไปอีกขั้น

คุณลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด

“เพราะจาก Research ทั่วโลกในปี 2022 – 2023 พบว่าคนรวยทั้งโลกจนลง แต่ Southeast Asia หรือประเทศไทย มีคนรวยในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในเชิงมูลค่า 4%  บวกตัวเลขจำนวนการขอใบอนุญาตของธนาคารต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทยก็สูงขึ้นเช่นกัน …เพราะฉะนั้น 1-2 ปีนี้เราจะเห็น House ต่างชาติตบเท้าเข้ามาเพราะว่าคนรวยในประเทศไทยจะ Onshore Wealth เราจะต่างจากอินโดนิเซีย หรือหลายๆ ประเทศที่มีเงินเข้าอยู่ข้างนอก แต่คนรวยในเมืองไทย 80% ของความมั่งคั่งอยู่ในประเทศ เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจนี้ยังไงก็ต้องทำในประเทศ”  ลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวเสริม

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ / คุณอรพงศ์ เทียนเงิน  / คุณกฤษณ์ จันทโนทก / คุณลลิตภัทร ธรณวิกรัย

 

4 ความท้าทายธุรกิจ “ธนาคาร” ในปี 2024 

นอกจากนี้ คุณกฤษณ์ จันทโนท ยังทิ้งท้ายเผยแนวโน้มความท้าทายของธุรกิจธนาคาร ในปี 2024  ได้แก่ 

  1. อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะไม่ขึ้นไปกว่านี้ ไม่เหมือนปี 2023 ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยลดลง  จึงต้องหา Growth Engine  เพื่อสร้าง Growth Story
  2. ความเสี่ยงจากหนี้เสีย จากกลุ่มลูกค้าเปราะบาง ทั้งรายย่อย และรายใหญ่ที่จะเพิ่มขึ้น
  3. เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะจากวันที่รับตำแหน่งจนถึงวันนี้ เชื่อว่า AI ในอีก 12 เดือนจะเห็นก้าวกระโดดมากขึ้น แต่โจทย์ของลูกค้าไม่แคร์เรื่องพวกนี้ สิ่งที่ลูกค้าอยากได้คือ Personalization คือการตอบโจทย์บริการลูกค้าที่เป็นปัจเจกบุคคลซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจธนาคาร
  4. การที่ทุกธนาคารต้องหันมามองเรื่อง “ต้นทุน” จะต้องสร้างระบบอัตโนมัติ ที่ไม่ใช้คน มาทำงานแทนคนให้มากขึ้น และหารายได้จากดิจิทัลมากขึ้น เพื่อลดความผันผวน ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทายทุกองค์กรรวมทั้งไทยพาณิชย์

แชร์ :

You may also like