HomeBrand Move !!ไม่ใช่แค่กาแฟในปั๊มอีกต่อไป “พันธุ์ไทย” กร้าวอีก 5 ปี เปิด 5,000 สาขา จ่อขายแคปซูล-เครื่องชงกาแฟ บุก Home Coffee เต็มสูบ

ไม่ใช่แค่กาแฟในปั๊มอีกต่อไป “พันธุ์ไทย” กร้าวอีก 5 ปี เปิด 5,000 สาขา จ่อขายแคปซูล-เครื่องชงกาแฟ บุก Home Coffee เต็มสูบ

แชร์ :


“กาแฟพันธุ์ไทย”
  ร้านกาแฟภายใต้การบริหารจัดการของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (จำกัด) มหาชน  คืออีกหนึ่งเชนร้านกาแฟที่น่าจับตามอง  ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา “กาแฟพันธุ์ไทย” ทำรายได้ไปแล้วกว่า 1,200 ล้านบาท  กับจำนวนสาขา 1,000 แห่งทั่วไทย กลายเป็นอีกหนึ่งเชนร้านกาแฟที่หลายคนให้ความสนใจตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่การขยายสาขาภายในปั๊มน้ำมัน PT เท่านั้น หากแต่ยังก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดร้านกาแฟเมืองไทย ด้วยการขยายเข้าไปในทำเลที่หลากหลาย ตั้งแต่ อาคารสำนักงานไปจนถึงย่านชุมชน มากขึ้น

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

หลังประกาศกร้าวท้าชิงตำแหน่งเบอร์  2 ในตลาดเชนร้านกาแฟของไทยเป็นผลสำเร็จจนเป็นที่น่าพอใจ  อีกภารกิจที่ “กาแฟพันธุ์ไทย” ยังคงมุ่งมั่นควบคู่กันไปคือ การขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศไปจนถึงระดับอำเภอ ที่ทุกๆ อำเภอ จะต้องมีร้านกาแฟพันธุ์ไทยอย่างน้อย 1 สาขา และ 5 ปีนับจากนี้ทั่วประเทศจะต้องมีร้านกาแฟพันธุ์ไทยไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 สาขา โดยสิ้นปีนี้จะต้องมีไม่ต่ำกว่า 1,000 สาขา และเพิ่มเป็น 1,700 สาขาในปี 2567

คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ (PTG) กล่าวว่า “แม้ปีนี้เราจะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเราคือผู้เล่นเบอร์ 2 ในตลาดกาแฟ (เชนแบรนด์ไทย) แต่ในปีหน้า (2567) จากจำนวนสาขา รายได้ที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราจะสามารถก้าวมาเป็นผู้เล่นเบอร์ 2 ในตลาดกาแฟเมืองไทยหรือมีส่วนแบ่งการตลาดราว 12-13% แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเราจะต้องมีสาขาครอบคลุมในระดับอำเภอครบทุกแห่ง โดยปีหน้าจะต้องขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยไปแล้ว 828 อำเภอทั่วประเทศ”

 

คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ

คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ

 

บุกตลาด Home Coffee รับเทรนด์ตลาดกาแฟในบ้านโตแรงหลังโควิด

นอกจากการรุกขยายสาขาตามเป้าหมายที่วางไว้ตลอดช่วง 5 ปีนับจากนี้แล้ว การมองหาโอกาสทางการเติบโตใหม่ๆให้แก่แบรนด์คือส่ิงที่ “คุณพิทักษ์” มองหาตลาดใหม่ๆ ที่มีช่องวางทางการเติบโตอยู่ตลอดเวลา โดยตลาด Home Coffee คืออีกหนึ่งตลาดที่มองว่ามีศักยภาพและน่าสนใจ

ตัวเลขจาก ยูโรมอนิเตอร์ ระบุว่า มูลค่าตลาดรวมกาแฟเมืองไทยมีมูลค่า 60,000 ล้านบาท มีการเติบโต 9.9% แบ่งเป็นตลาดกาแฟนอกบ้าน 27,000 ล้านบาท มีการเติบโต 9.5% และตลาดกาแฟในบ้าน หรือ Home Coffee  มีมูลค่าอยู่ที่ 33,000 ล้านบาท มีการเติบโตสูงถึง 12% โดยปัจจัยหลักของการเติบโตมาจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เป็นตัวเร่งให้ตลาด Home Cofee ได้รับความนิยมและเติบโตมากเป็นเท่าตัว เนื่องจากผู้บริโภคมักใช้ชีวิตและเคยชินกับการทำกิจกรรมต่างๆ ที่บ้าน รวมถึงนิยมสัมผัสประสบการณ์การดื่มและชงกาแฟดื่มเองในบ้านด้วยเมล็ดกาแฟที่ตนชื่นชอบ

แผนการรุกตลาด Home Coffee ของ “กาแฟพันธุ์ไทย” จึงเริ่มจากการขยายไลน์สินค้าและเดินหน้าพัฒนาโปรดักต์ในตลาด Home Coffee  มาโดยตลอดทั้ง กาแฟพันธุ์ไทย สเปเชียล เบลนด์ กาแฟพิเศษ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้ลูกค้าได้ลิ้มลองทั้งเมนู นัตตี้ สเปเชียล เบลนด์ กาแฟคั่วกลาง กลิ่นและรสชาติออกแนวดาร์คโกโก้มีความเป็นช็อกโกแลต ปนอัลมอนด์ปลายๆ และ ฟรุตตี้ สเปเชียล เบลนด์ ให้ความเปรี้ยวสดชื่นของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ออกหวานปลายๆ กลิ่นหอมละมุน โดยกาแฟพันธุ์ไทย สเปเชียล เบลนด์ นี้ได้นำร่องให้บริการใน 80 สาขา

ขณะที่อัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จากเดิมอยู่ที่ 180 แก้วต่อคนต่อปี เพิ่มเป็น 300 แก้วต่อปีในปัจจุบัน นอกจากนี้ในเชิงปริมาณคนไทยบริโภคกาแฟราว 70,000 ตันต่อปี ขณะที่ประเทศไทยผลิตกาแฟได้เพียง 10,000 ตันต่อปี ซึ่งแน่นอนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งถ้ามีการส่งเสริมการปลูกกาแฟให้เพียงพอก็จะสามารถรองรับความต้องการและสร้างอาชีพในชุมชน เป็นการต่อยอดความหลากหลายและแตกต่าง

จนนำมาสู่อีกก้าวสำคัญของการบุกตลาด Home Coffee นั่นคือ การเปิดตัว “9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย” ถูกรังสรรค์จาก 9 นักสร้างสรรค์กาแฟ ตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การปลูก การดูแลรักษาจนได้ต้นกาแฟที่มีผลเชอร์รี่สุกให้เก็บเกี่ยว การคัดเลือกสารกาแฟ การคั่วหาโปรไฟล์ที่ดีที่สุด Cupping กันหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ด้วยภาพวาดลายเส้นสีน้ำที่งดงามและดีต่อโลก เพราะเราใช้กระดาษ   รีไซเคิล 70% สามารถย่อยสลายได้ง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกมาวางจำหน่ายตลอดช่วง 3 เดือนนับจากนี้

ก่อนจะต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์ลำดับถัดไปนั่นคือการเปิดตัวกาแฟพันธุ์ไทยแบบแคปซูล และเครื่องชงกาแฟ (แบบกระทัดรัดใช้ในบ้าน) ออกมาทำตลาดในช่วงไตรมาส 1/2567 ซึ่งจะเป็นการทำตลาดตาม Seasonal หรือราว 3 เดือนอีกเช่นกัน ก่อนจะหมุนเวียนสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องกับกาแฟในกลุ่ม Home Cofee เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม

 

PT Drip Coffee

“9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย” ที่ถูกรังสรรค์จาก 9 นักสร้างสรรค์กาแฟของไทย เพื่อเจาะตลาด Home Coffee

เมื่อ Home Coffee โตแรง “ร้านกาแฟ” ต้องเพิ่มความสะดวกสบาย (Convenience) ดึงดูดลูกค้า

สำหรับเป้าหมายอีก 5 ปีของ “กาแฟพันธุ์ไทย” นับจากนี้ “คุณพิทักษ์” บอกว่า จะขึ้นเป็นผู้เล่นเบอร์ไหนของตลาด แต่ที่แน่ๆ จะต้อง “ฝันใหญ่และไปให้ถึงผู้ เพราะการเป็นเบอร์2 ในตลาดมักไม่มีใครจดจำ” นั่นทำให้เป้าใหญ่ของ “พันธุ์ไทย” ในระยะยาวคือการเพิ่มสาขาให้ครอบคลุม พร้อมกับสร้างความสะดวกสบาย (Convenience) ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในร้าน

เริ่มจากปีหน้า 2567 “กาแฟพันธุ์ไทย” จะต้องขยายสาขาให้ครบ 1,800 แห่ง โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในปั๊มน้ำมัน หากแต่คือการเพิ่มโอกาสการเข้าถึง ด้วยการขยายเข้าในเขตเมือง CBD ,หัวเมืองหลัก สถานที่ท่องเที่ยว โดยปีหน้าจะต้องมีพันธุ์ไทยเข้าไป 828 อำเภอทั่วไทย และมีรายได้ราว 3,400-3,500 ล้านบาท (จากสิ้นปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะปิดรายได้ที่ 1,700 ล้านบาท) พร้อมทั้งขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาดกาแฟแมสที่มีระดับราคา 50-80 บาท ที่ปัจจุบันมีผู้เล่นหลักอยู่ 2 ราย “คาเฟ่อเมซอน-อินทนิล” กับส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 12% พร้อมกับขยายตลาดไปต่างประเทศในไทยหน้าอีก 10 สาขา โดยเริ่มแห่งแรกที่ สปป.ลาว 5 สาขา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถเปิดตัวสาขาแรกร่วมกับพาร์ทเนอร์ได้ในช่วงเดือนธันวาคม 2566

นอกจากนี้ยังมีการสร้างสีสันทางการตลาดและเอาใจผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ ด้วยการออกเมนูรสชาติใหม่ๆ  ทั้ง Coffee และ Non-Coffee ให้ลูกค้าได้ลิ้มลองอยู่เสมอ โดยจะมีการจับมือกับเกษตรท้องถิ่น เพื่อเปิดตัวรสชาติกาแฟใหม่ๆออกสู่ตลาด  พร้อมทั้งเติมความเป็นวาไรตี้ของทั้งเมนูอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกรับประทานหรือชืมได้ต่อเนื่อง เป็นการสร้างแรงดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในร้านเพิ่มมากขึ้น

 

Punthai

 

ท้ายที่สุดท่ามกลางความท้าทายของตลาดกาแฟเมืองไทยที่กลายเป็น Red Ocean “คุณพิทักษ์” บอกว่า คุณภาพเรื่องการขยายสาขา ที่รสชาติต้องเหมือนกันทุกแก้ว ขณะที่เป้าหมายการมีสาขาในอนาคต 4,000-5,000 สาขาในอีก 4-5 ปีข้างหน้าคืออีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องทำให้ได้ และต้องเร่งขยายสาขาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนเพราะถ้าช้าไพร์มแอเรียจะถูกคนอื่นเอาไปก่อน

 

“ถามว่าทำไมเราต้องการเป็นเบอร์ 1 เพราะส่วนใหญ่คนมักจะจำเบอร์ 2 ไม่ค่อยได้ เวลาทำอะไรต้องฝันให้ใหญ่ แม้เราจะเป็นเบอร์ 1 ไม่ได้ แต่ไม่ขอเป็นเบอร์ 2 แต่เราจะขอเป็นเบอร์ 1.1 ที่อย่างน้อยหากเบอร์ 1 มีส่วนแบ่งการตลาด 50% เราก็ขอ 45% นั้นคือความหมายของเบอร์ 1.1 ที่เราอยากเป็น” คุณพิทักษ์กล่าวทิ้งท้าย

 

อ่านเพิ่มเติม

 


แชร์ :

You may also like