บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร เปิดตัว “Kissuisen” (คิสซึอิเซน) ห้องอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยมแห่งแรกที่รวมแก่นแท้ของวัฒนธรรมการรับประทานอาหารอันงดงามและหลากหลายของญี่ปุ่นที่โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ ด้วยเมนูอาหารรสเลิศที่ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยเชฟชาวญี่ปุ่น เพื่อนำเสนอเมนูอาหารญี่ปุ่นสูตรต้นตำรับสุดพิเศษ 4 ร้าน 4 สไตล์ในที่เดียว ได้แก่ร้าน “CHI IZAKAYA BAR & DINING” ในสไตล์อิซากายะที่มีชีวิตชีวา “KAEN TEPPANYAKI AND GRILL” ในสไตล์เทปันยากิ กับศาสตร์แห่งไฟในการปรุงอาหาร “SEIFU OMAKASE BAR” ในสไตล์โอมากาเสะจากวัตถุดิบชั้นเลิศตามฤดูกาล และ “MIZU SAKE BAR” สาเกบาร์ที่นำเสนอสาเกหายากจากโรงกลั่นสุราในประเทศญี่ปุ่น รวมถึง “PRIVATE DINING ROOMS” ห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวกับเมนูชุดอาหารแบบเบนโตะ ที่ได้รับการตกแต่งตามคอนเซ็ปต์ “ดิน น้ำ ลม ไฟ” จากแรงบันดาลใจของธาตุทั้งสี่ตามปรัชญา “โกได (Godai)” รวมถึงการตกแต่งภายในร้านด้วยวัสดุและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อมอบประสบการณ์ของการรับประทานอาหารญี่ปุ่นอันน่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมเสริมศักยภาพพื้นที่ย่าน สีลม-สุรวงศ์ สู่แหล่งรวมความสุขและความอร่อยระดับโลก
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC มีความยินดีในการเปิดห้องอาหารญี่ปุ่น ‘“Kissuisen” ที่รวบรวมศิลปะการทำอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับ 4 ร้านไว้ในที่เดียว โดดเด่นด้วยเมนูอาหารจากวัตถุดิบระดับพรีเมียมตามฤดูกาล ซึ่งรังสรรค์โดยทีมเชฟผู้มีประสบการณ์และได้รับรางวัลระดับโลก นำโดย “เชฟเอ็กซ์ – อรรถพล ไนโต ถังทอง” เอ็กเซ็กคิวทีฟ เชฟ ประจำโรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ ที่จะมาผสานความเชี่ยวชาญกับเชฟอาหารญี่ปุ่นชั้นนำอย่าง “เชฟยูอิชิ มิตซุย (Yuichi)” และ “เชฟเคน อิโนะอุเอะ” เพื่อร่วมรังสรรค์เมนูสุดพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับลูกค้าและผู้ที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม รวมถึงการตกแต่งพื้นที่ภายในร้านอย่างสร้างสรรค์ เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษเสมือนนั่งทานอาหารอยู่ในบ้านของชาวญี่ปุ่น ในใจกลางกรุงเทพฯ”
“Kissuisen” (คิสซึอิเซน) มีความหมายในภาษาญี่ปุ่นว่า “ความบริสุทธิ์” สะท้อนความงดงามตามธรรมชาติ เพื่อเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของศาสตร์แห่งการปรุงอาหาร และศิลป์แห่งการตกแต่งที่ส่งผ่านออกมาผ่านงานดีไซน์ แต่ละชั้นได้รับการตกแต่งด้วยวัสดุเกรดพรีเมี่ยมและงานออกแบบที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของการรับประทานอาหารประเภทต่างๆ ตั้งแต่บริเวณทางเข้าร้านที่พร้อมต้อนรับทุกท่านให้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศของสวนเซนด้วยงานศิลปะบนพื้นทรายและต้นบอนไซ ภายในร้านตกแต่งด้วยวัสดุชั้นดีจากไม้ฮิโนกิ ไม้หอมศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนอาทิตย์อุทัยที่ให้กลิ่นหอมอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไปจนถึงองค์ประกอบของงานสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวแบบญี่ปุ่น อาทิ เสื่อทาทามิ ฉากประตูเลื่อนโชจิ โถงต้อนรับแบบเก็งคัง ทางเดินไม้ริมระเบียง และการประดับตกแต่งภายในจากงานศิลปะรวมไปถึงถังไม้สาเก เพื่อสร้างบรรยากาศของการรับประทานอาหารและเพิ่มสุนทรียภาพในแบบฉบับของร้านอาหารญี่ปุ่นขนานแท้
ห้องอาหาร “Kissuisen” พร้อมถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับที่นำเสนอความหลากหลายของอาหารญี่ปุ่นไว้ในที่เดียว ประกอบด้วย
CHI IZAKAYA BAR & DINING (ดิน) ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 และชั้นลอย นำเสนออาหารญี่ปุ่นในสไตล์อิซากายะที่มีชีวิตชีวา ด้วยเมนูอาหารที่ได้รับการสร้างสรรค์และปรุงขึ้นเป็นพิเศษจากถ่านบินโจตัน ถ่านไม้เกรดพรีเมี่ยมที่ให้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงได้รับการยกย่องถึงความบริสุทธิ์และถือเป็นหัวใจสำคัญของร้านอาหารอิซากายะชั้นนำมากมาย โดยมีเมนูไฮไลท์ อาทิ ทูน่าทาทากิย่างถ่าน หรือกิวคารูบิยากิ รวมถึง PRIVATE DINING ROOMS ห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของร้านอาหาร ซึ่งตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์จำนวน 3 ห้อง รองรับการความต้องการของลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือการพบปะทางธุรกิจ พร้อมนำเสนอชุดอาหารกลางวันแบบเบนโตะ และชุดอาหารเย็นแบบโอเซ็น รวมถึงเมนูอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับอีกหลากหลายชนิด
KAEN TEPPANYAKI AND GRILL (ไฟ) ตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 นำเสนออาหารญี่ปุ่นในสไตล์เทปันยากิ ที่มอบประสบการณ์แห่งรสชาติด้วยศิลปะการแสดงและการทำอาหารอย่างสร้างสรรค์จากศาสตร์แห่งไฟและทักษะของเชฟผู้มากประสบการณ์ รวมถึงส่วนผสมของวัตถุดิบชั้นเลิศตามฤดูกาล อาทิ ล็อบสเตอร์จากภูเก็ต และเนื้อมัตสึซากะ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเนื้อวัวคุณภาพสูงของประเทศญี่ปุ่น
SEIFU OMAKASE BAR (ลม) ตั้งอยู่บริเวณชั้น 4 นำเสนออาหารญี่ปุ่นในสไตล์โอมากาเสะ จากแรงบันดาลใจของลายเส้นอันสวยงามบนผนังร้านที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสายลมแห่งฤดูกาลที่ได้พัดพาเอาผลิตผลชั้นเลิศจากแหล่งผลิตไม่ว่าจะเป็น ผักผลไม้สดจากเทือกเขา ไปจนถึงวัตถุดิบสดใหม่จากตลาดอาหารทะเล ที่ได้รับเลือกมานำเสนอสู่โต๊ะอาหารเพื่อถ่ายทอดศิลปะแห่งรสชาติอย่างประณีตบรรจงโดยฝีมือของเชฟ ยูอิชิ มิตซุย ในราคา Standard Course สำหรับมื้อกลางวันและมื้อค่ำ 12 คำ ราคา 4,588++ บาท และ Exclusive Course สำหรับมื้อค่ำ 15 คำ ราคา 8,888++ บาท
MIZU SAKE BAR (น้ำ) สาเกบาร์ ที่ตั้งอยู่บริเวณดาดฟ้าชั้น 5 พร้อมเปิดประสบการณ์แห่งศาสตร์ของเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่นด้วยสาเกบริสุทธิ์หายากหลากชนิดจากโรงกลั่นสุราในประเทศญี่ปุ่น และค็อกเทลสูตรพิเศษที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากสาเกคุณภาพ พร้อมจับคู่กับเมนูอาหารว่างแบบญี่ปุ่นปิดท้ายค่ำคืนแสนพิเศษ
“ห้องอาหารญี่ปุ่น ‘Kissuisen’ ได้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นสถานที่สังสรรค์ในโอกาสพิเศษ การติดต่อเจรจาธุรกิจ หรือผู้ที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหาห้องอาหารญี่ปุ่นที่นำเสนอความหลากหลายอย่างครบวงจรในที่เดียว โดย ‘Kissuisen’ เป็นห้องอาหารแห่งที่ 5 ของโรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ ที่นำเสนอเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมและประเพณีของชาติต่างๆ เอาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อาทิ ห้องอาหาร ‘Praya Kitchen’ (พระยา คิทเช่น) นำเสนอเมนูอาหารไทยและบุฟเฟ่ต์นานาชาติ ห้องอาหาร ‘Yao Restaurant’ (เย่า เรสเตอรองท์) นำเสนอเมนูอาหารจีนสไตล์โมเดิร์นและห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว ‘Yao Rooftop Bar’ (เย่า รูฟท็อป บาร์) นำเสนอเมนูอาหารและเครื่องดื่มคู่กับวิวเมืองและแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนจากชั้นดาดฟ้า เดอะ ล็อบบี้ เลาจน์ และพูลบาร์ รวมถึงบริการจัดเลี้ยงและการประชุมสัมมนาด้วยห้องบอลรูมขนาดใหญ่และห้องฟังก์ชันขนาดต่างๆ รวมถึงเดอะ สุรวงศ์ รูฟท็อป พื้นที่สวนแบบเอ้าท์ดอร์บนดาดฟ้าขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับแขกได้ถึง 300 คน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่มองหาสถานที่จัดงานในโอกาสต่างๆ โดย AWC เชื่อมั่นว่าการเปิดห้องอาหาร ‘Kissuisen’ จะร่วมเสริมศักยภาพให้กับพื้นที่ย่านสีลม-สุรวงศ์ สู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่นชั้นนำในกรุงเทพฯ” นางวัลลภา กล่าวสรุป
ห้องอาหาร “Kissuisen” ตั้งอยู่ภายในโรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ โดยส่วนของห้องอิซากายะ ห้องไพรเวทไดนิ่งรูม ห้องเทปันยากิ และห้องโอมากาเสะ เปิดให้บริการทุกวัน ช่วงกลางวัน เวลา 11.30 – 14.30 น. และช่วงเย็น เวลา 18.00 – 22.00 น. และส่วนของสาเกบาร์ เปิดให้บริการทุกวัน ช่วงเย็น เวลา 17:00 จนถึงเที่ยงคืน