HomeBrand Move !!“อายิโนะโมะโตะ” สลัดภาพจำผงปรุงรส ลุยสินค้า Well-Being ปรับสูตรใหม่ลดโซเดี่ยม 50% สู่เป้าหมายสร้างความอยู่ดีมีสุขให้สังคมไทย

“อายิโนะโมะโตะ” สลัดภาพจำผงปรุงรส ลุยสินค้า Well-Being ปรับสูตรใหม่ลดโซเดี่ยม 50% สู่เป้าหมายสร้างความอยู่ดีมีสุขให้สังคมไทย

แชร์ :

Ajinomoto

อายิโนะโมะโตะ (AJINOMOTO)  ยักษ์เครื่องปรุงและเครื่องปรุงรสและเครื่องดื่มชื่อดังจากญี่ปุ่น ที่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของคนไทยเป็นอย่างดีอย่างผงชูรส อายิโนะโมะโตะ หากแต่ในพอร์ตโฟลิโอของทางกลุ่มยังมีสินค้ามากมาย ทั้งเครื่องปรุงรส รสดี , อายิโนะโมะโตะ ,กาแฟเบอร์ดี้ ,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในหลายบริบท

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ขณะที่เทรนด์โลกเปลี่ยนไป ให้ความสำคัญเรื่องการดูแลสุขภาพ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม มากขึ้น ทำให้ปี 2666 นี้ อายิโนะโมะโต๊ะ ประกาศภารกิจและวิสัยทัศน์ใหม่ รองรับการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจครั้งสำคัญ เดินหน้าสู่ผู้นำในการสร้างความอยู่ดีมีสุขให้สังคมไทย ซึ่งแผนการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นการดำเนินตามค่านิยมหลักเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน (ASV) ตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนปี 2573 ของกลุ่มบริษัทฯ ระดับโลก มีเป้าหมานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพดีของผู้คน 1,000 ล้านคนทั่วโลก และส่งเสริมความยั่งยืนของโลกด้วยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ 50% 

เส้นทางภารกิจใหม่ของ อายิโนะโมะโตะ เริ่มต้นจากโจทย์ที่ต้องการแก้ไขปัญหาด้านอาหารและสุขภาพของสังคมผ่านค่านิยมหลักของบริษัทสู่การเป็นผู้นำในการสร้างความอยู่ดีมีสุข ภายใต้การผลิตคำนึงถึงโภชนาการของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทเริ่มมีการปรับสูตรสินค้าในเครือเพื่อตอบโจทย์สุขภาพมากขึ้น ตั้งแต่การปรับสูตรใหม่ ตั้งแต่ การปรับลดปริมาณโซเดี่ยมลง 50% ในกลุ่มผงปรุงรสอย่างรสดี,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ ไปจนถึงการเปิดตัว เบอร์ดี้ ซีโร่ กาแฟพร้อมดื่มแบบไม่มีน้ำตาล เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค ทะยานสู่เป้าหมายใหม่จากผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรุงรส F&B  สู่บริษัทที่สร้างความอยู่ดีมีสุขให้สังคมไทย 

อย่างไรก็ตามแม้ปัจจุบันสินค้าในกลุ่ม Well-Being จะยังมีสัดส่วนน้อยอยู่ แต่แผนงานของบริษัทนับจากนี้จะเดินหน้าผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์สุขภาพมากขึ้น โดยจะมีการลงทุนการเรื่องกำลังการผลิตเพิ่มเติม ผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยต่างๆ ให้สามารถตออบโจทย์ตลาดและปริมาณที่ตลาดต้องการได้อย่างต่อเนื่อง ปี 2024 จะมีการลงทุนสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น

คุณอิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ปรับวิสัยทัศน์ใหม่ จากเดิมมุ่งสู่การเป็นบริษัทอาหารที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำในการสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับสังคมไทยอย่างยั่งยืนโดยมีภารกิจใหม่ ในการอาสาแก้ไขปัญหาด้านอาหารและสุขภาพของสังคมผ่านค่านิยมหลักของบริษัท โดยมีแผนเปิดตัวกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ภายในปี 2573 เพื่อสนับสนุนคนไทยกว่า 3 ล้านคนในทุกช่วงวัยให้มีสุขภาพดีรับสังคมผู้สูงวัยของไทยในอนาคตอันใกล้ และขยายผลความสำเร็จในการปลูกฝังแนวคิดการลดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ ผ่านแคมเปญ Too Good To Waste เพื่อส่งต่อแนวคิดในการจัดการกับการสูญเสียอาหารและขยะอาหารให้กับคนไทยในภาคครัวเรือน

 

AJ

กลยุทธ์ 3 ประการ หนุน Well-being คนไทยอยู่ดีมีสุข

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการสร้าง Well-being หรือการอยู่ดีมีสุขทั้งกับเพื่อนพนักงานและคนไทยทุกคน โดยตั้งเป้าที่จะสนับสนุนคนไทยกว่า 3 ล้านคนในทุกช่วงวัยให้มีสุขภาพดีรับสังคมผู้สูงวัยของไทย ด้วยนวัตกรรมที่เกี่ยวกับอาหารและสุขภาพของบริษัทฯ ผ่านกลยุทธ์การดำเนินงานทั้งหมด 3 แนวทาง ประกอบด้วย

1.โภชนาการที่สมดุล เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้นด้วยโภชนาการที่ปราศจากการประนีประนอม (Nutrition without Compromising) ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพซึ่งได้รับการรับรองเครื่องหมาย Healthier Choice Logo เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ลดโซเดียม (รสดี สูตร ลดโซเดียม, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ ฯลฯ) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ลดน้ำตาล (กาแฟกระป๋องเบอร์ดี้, เป็นต้น

2.โภชนาการสำหรับการกีฬา ในโครงการ Thailand Victory Project ด้วยการสร้างสรรค์โปรแกรมโภชนาการอาหารที่เหมาะสมกับนักกีฬา (Winning Meal) เพื่อเสริมสมรรถภาพร่างกายให้แข็งแรงและมีพลังงานเพียงพอให้กับทีมนักกีฬาทีมชาติไทยในศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ผ่านมา รวมไปถึงแผนการสนับสนุนในอนาคตต่อไป

3.ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับสุขภาพ ด้วยการนำศาสตร์แห่งกรดอะมิโนมาตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพของคนวัยทำงานจนถึงผู้สูงวัย เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด (Hyper-Aged Society) ในปี .. 2578 ของไทย โดยได้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 ผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนอาหารและอาหารเสริม ภายในปี .. 2573 เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพให้แก่คนไทยกว่า 3 ล้านคนในทุกช่วงวัย 

 

คุณอิชิโระ ซะกะกุระ

คุณอิชิโระ ซะกะกุระ

 

เปิดแผนงาน 5 ด้าน สู่เป้าหมายเพื่อความยั่งยืนในปี 2573

พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งเป้าหมายในการดำเนินงาน 5 ด้าน เพื่อบรรลุเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนในปี 2573 ได้แก่ 1) การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50% 2) การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ 80% 3) ลดขยะพลาสติกเป็นศูนย์ (รีไซเคิลพลาสติก) 4) ลดปริมาณของเสียจากอาหารและอื่น ๆ ลง 50% และ 5) การจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน 100% ด้วยการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการผลิตในโรงงานและภาคการเกษตร 

โดยโรงงานทุกแห่งของบริษัทฯ ได้ดำเนินงานตามแนวทางวัฏจักรชีวภาพในกระบวนการผลิต ที่ได้นำหลัก 3Rs มาใช้ในการจัดการทรัพยากรในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำตลอดการผลิตให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการบำบัดและใช้หมุนเวียนภายในโรงงาน 

สำหรับภาคการเกษตร บริษัทฯ ได้ดำเนินงานผ่านโครงการ “การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรไทย” (Thai Farmer Better Life Project) ด้วยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ควบคู่กับการให้ความรู้ในการปรับปรุงดิน พัฒนาสายพันธุ์มันสำปะหลังซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตผงชูรสควบคู่ไปกับการวิเคราะห์โรคใบด่างฯ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับมันสำปะหลัง โดยสนับสนุนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาด ทนทาน และปราศจากโรค ให้กับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดข้างเคียง ที่ได้รับผลกระทบจากโรคใบด่างฯ มาตั้งแต่ปี 2564 รวมถึงปัจจุบันแล้วกว่า 73,025 ต้น

นอกจากนี้ยังได้เตรียมเปิดตัวแคมเปญ Too Good To Waste เพื่อส่งต่อแนวคิดในการจัดการกับการสูญเสียอาหารและขยะอาหารให้กับคนไทยในภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นการต่อยอดแนวทางการจัดการ Food Loss and Food Waste ที่ใช้ในโรงงาน เพื่อลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารจากกระบวนการผลิต ด้วยการนำของเหลือจากกระบวนการผลิตมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ร่วม (Co-Product) ส่งคืน
สู่ภาคการเกษตร เช่น การนำน้ำหมักที่เหลือจากกระบวนการผลิตผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะมาผลิตเป็นปุ๋ยน้ำให้กับพืช และใช้ผสมในอาหารสัตว์ (Fertilizer Animal feed) เป็นต้น

สำหรับผลสำเร็จในการดำเนินงานช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – พ.ศ. 2565) อายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศไทย สามารถลดการใช้น้ำต่อหน่วยการผลิตลงถึง 91% รวมทั้งการบำบัดน้ำทิ้งที่ได้มาตรฐานสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดก่อนปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ  พร้อมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 267,000 ตัน หรือเทียบเท่าการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ใหญ่กว่า 30 ล้านต้น และสามารถลดการใช้พลาสติกจากการดำเนินการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ลดขนาดหรือความหนาของบรรจุภัณฑ์พลาสติกลง โดยที่ยังคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไว้ได้ดีเหมือนเดิม หรือการยกเลิกบรรจุภัณฑ์ชั้นที่ 2 ซึ่งทำให้ช่วยลดการใช้พลาสติกลงได้กว่า 307 ตัน นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นดำเนินการเพื่อลดปริมาณการสูญเสียอาหารและขยะอาหารได้ถึง 49% หรือประมาณ 1,000 ตัน อีกด้วย


แชร์ :

You may also like