HomeBrand Move !!รวม 5 ไฮไลต์อีเวนท์เปิดตัว “iPhone 13”

รวม 5 ไฮไลต์อีเวนท์เปิดตัว “iPhone 13”

แชร์ :

iphone 13เปิดตัวไปแล้วเรียบร้อยสำหรับ iPhone 13 ที่หลายคนรอคอย โดยนอกจากจะมีทั้งรุ่น Mini, Pro และ Pro Max ออกมาด้วยกันแล้ว ทาง Apple ยังอัปเดทอีก 3 ผลิตภัณฑ์พร้อมกันด้วย นั่นคือ iPad, iPad Mini และ Apple Watch Series 7

1. iPad Gen 9

ipad gen 9

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

สินค้าแรกที่ Tim Cook พูดถึงบนเวทีคือ iPad Gen 9 ซึ่ง Apple บอกด้วยว่า ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจ iPad เติบโตขึ้น 40% และมีแอปพลิเคชันให้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านแอป

สิ่งที่พิเศษมากขึ้นในปีนี้สำหรับ iPad Generation 9 ก็คือการใช้ชิป A13 Bionic ที่ Apple บอกว่าทำให้เจ้า iPad 10.2 นิ้วในมือเราทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิม 20% และด้วยความสามารถของ iPadOS 15 ทำให้ iPad Gen 9 ทำงานแบบ Multitasking ได้สะดวกขึ้น ทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดของ Apple ได้ โดย iPad รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB เริ่มต้น 11,400 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular เริ่มต้นที่ 16,400 บาท

ipad gen 9 02

2. iPad Mini

Apple_iPad-mini

การอัปเดต iPad Mini ก็ถือว่าน่าสนใจ โดยในการรีดีไซน์ครั้งนี้ iPad Mini มีให้เลือกถึง 4 สี คือม่วง ชมพู สตาร์ไลท์ และสเปซเกรย์ และการออกแบบให้ปุ่ม Touch ID อยู่ด้านบน ทำให้ประสบการณ์ในการปลดล็อกด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ไม่ต่างจาก iPad Pro

สำหรับชิปที่ใช้คือ A15 Bionic ที่ Apple บอกว่า ประมวลผลเร็วขึ้น 40% รองรับการทำงานด้านกราฟิกดีขึ้นถึง 80% ตัวเครื่องยังรองรับพอร์ต USB-C ที่ทำให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไฮเอนด์อื่น ๆ ได้มากขึ้น รวมถึงรองรับ 5G ได้ มาพร้อมกล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล คุณสมบัติด้านการช่วยถ่ายรูป เช่น HDR

ราคาเปิดตัวของ iPad mini รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB เริ่มต้นที่ 17,900 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular เริ่มต้นที่ 23,400 บาท

3. Apple Watch Series 7

apple watch series 7 02

สินค้าที่เปิดตัวลำดับต่อไปคือ Apple Watch Series 7 ที่มีการออกแบบหน้าจอใหม่ให้แสดงผลได้ในมุมที่โค้งมน และใส่คีย์บอร์ด QWERTY ลงมาได้ทำให้พิมพ์ข้อความตอบโต้ได้สะดวกขึ้น

apple watch series 7

จุดที่น่าสนใจใน Apple Watch Series 7 อาจเป็นการโฟกัสในการออกกำลังกายรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด เช่น วัดแคลอรี่ที่ใช้ในการขี่จักรยาน ที่ตัวเครื่องสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นการขี่จักรยานกลางแจ้ง หรือในร่ม

ส่วนตัวจอเป็นแบบคริสตัลที่แข็งแกร่งขึ้นและทนการแตกร้าวได้ดีกว่าเดิม และเป็น Apple Watch เรือนแรกที่ผ่านการรับรองความสามารถในการทนฝุ่นที่ระดับ IP6X และการกันน้ำที่ระดับ WR50

Apple บอกด้วยว่า Watch Series 7 ชาร์จเร็วขึ้น 33% เมื่อเทียบกับ Series 6 โดยสามารถชาร์จจาก 0 ถึง 80% ได้ในเวลา 45 นาที แต่ยังไม่มีการประกาศถึงวันที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยบอกเพียงว่า Apple Watch Series 7 ทุกรุ่นจะวางจำหน่ายภายในปีนี้ ราคาเริ่มต้นสำหรับ Apple Watch Series 7 อยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐ

4. iPhone 13 และ iPhone 13 Mini

iphone 13 01

นางเอกของงานอย่าง iPhone 13 และ iPhone 13 Mini มาในนาทีที่ 37.46 ของคลิป โดยความพิเศษของรุ่นนี้คือการพัฒนาระบบกล้องคู่ ที่ออกแบบให้กล้องไวด์รับแสงได้มากขึ้น 47% ทำให้ภาพสว่างขึ้นโดยที่มีนอยซ์น้อยลง มีสีให้เลือก 5 สีได้แก่ สีชมพู น้ำเงิน มิดไนท์ สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT) RED (รายได้จากรุ่น (PRODUCT)RED จะนำไปสบทบให้กองทุนโลกโดยตรงเพื่อต่อสู้กับการระบาดใหญ่ของโรคต่าง ๆ อย่าง Covid‑19 และเอดส์)

iPhone 13 ยังทำงานบน ชิป A15 Bionic โดยมี CPU แบบ 6-core ที่ช่วยให้การทำงานต่าง ๆ ลื่นไหลมากขึ้น ในขณะที่ GPU แบบ 4-core ใหม่เร็วกว่าคู่แข่งสูงสุด 30% ส่วน Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ก็ประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที

Apple จะวางจำหน่าย iPhone 13 และ iPhone 13 Mini ในมาเลเซีย เม็กซิโก เกาหลีใต้ ไทย ในวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม ในราคา 2,990 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 29,900 บาท ก่อนการแลกซื้อ และ iPhone 13 mini ในราคา 2,590 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 25,900 บาท ก่อนการแลกซื้อ ที่ apple.com/th/store ในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store

5. iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max

สุดท้ายกับพระเอกของงาน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ซึ่งถือเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมความจุ 1TB รองรับ 5G จอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น และชิปที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนอย่าง A15 Bionic โดยมีให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีกราไฟต์ ทอง เงิน และเซียร์ร่าบลู

อีกข้อที่ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ทำได้ก็คือหน้าจอที่มาพร้อมอัตรา Refresh Rate 120Hz ทนทานต่อการตกกระแทกด้วย Ceramic Shield รวมถึงมีแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น โดย iPhone 13 Pro จะใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro ถึง 1.5 ชั่วโมง ส่วน iPhone 13 Pro Max จะใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro Max ถึง 2.5 ชั่วโมงเลยทีเดียว

iPhone 13 Pro ยังพัฒนาให้รองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้นด้วย และ Apple ได้พัฒนาโหมด “ข้อมูลอัจฉริยะ” สำหรับช่วยปรับความเร็วของ iPhone มาอยู่ที่ LTE เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G โดยภายในสิ้นปี 2021 การรองรับ 5G บน iPhone ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ครอบคลุมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 200 รายทั่วโลกใน 60 ประเทศและภูมิภาคเลยทีเดียว

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะวางจำหน่ายในสีกราไฟต์ ทอง เงิน และเซียร์ร่าบลู ในความจุ 128GB 256GB 512GB และ 1TB โดยวางจำหน่ายในมาเลเซีย เม็กซิโก เกาหลีใต้ ไทย ในวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม

สนนราคา iPhone 13 Pro เริ่มต้นที่ 3,890 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 38,900 บาทก่อนการแลกซื้อ และ iPhone 13 Pro Max ในราคา 4,290 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือน หรือ 42,900 บาทก่อนการแลกซื้อ ที่ apple.com/th/store ในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store

ส่วน iOS 15 จะเปิดให้ใช้งานในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรีในวันอังคารที่ 21 กันยายนนี้


แชร์ :

You may also like