ต้องยอมรับว่า E-Commerce เป็นตลาดที่เติบโตอย่างร้อนแรงโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีมานี้ ส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เร่งให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น และทำให้ทุกแบรนด์สนใจรุก E-Commerce กันอย่างหนัก รวมถึงยักษ์ผู้ผลิตและส่งออกอาหารอย่าง NRF ด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัทที่จำหน่ายสินค้าบน Amazon.com ภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย Ethnic Food, Plant-Based Food และ Functional Product โดยล่าสุดเข้าลงทุนซื้อสินทรัพย์ Prime Labs อาหารเสริมสำหรับผู้ชาย ยอดขายอันดับ 1 บนเว็บไซต์ หวังสร้างรายได้จากธุรกิจ E-Commerce เพิ่มเป็น 50% ใน 3 ปี
ตลาด E-Commerce มาแรง
ในขณะที่หลายธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายจากการระบาดของโควิด-19 แต่ตลาด E-commerce กลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา หากดูจากการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในตลาด E-commerce อย่างต่อเนื่อง จะพบว่า Amazon.com ครองส่วนแบ่งตลาด 38.7% ในตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐอเมริกา และมูลค่าตลาดของ Amazon.com เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2559-2563 จาก 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เมื่อเทียบกับตลาดค้าปลีกในสหรัฐทั้งหมด ยอดขายของ Amazon.com คิดเป็น 5% เท่านัั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF มองเห็นโอกาสในธุรกิจ และตัดสินใจประกาศเพิ่มขนาดการลงทุนในบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท เอ็นอาร์เอฟ คอนซูเมอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NRF ถือหุ้น 55% ร่วมกับบริษัท Boosted Ecommerce, Inc ในสหรัฐอเมริกา ถือหุ้น 45% จัดตั้งบริษัท Boosted NRF Corporation เพื่อลงทุนในธุรกิจ Branded e-commerce บน Amazon.com
โดยล่าสุดได้เข้าซื้อสินทรัพย์ภายใต้แบรนด์ Prime Labs ซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารเสริมสำหรับผู้ชายวัย 45 ปีขึ้นไป โดยมียอดขายอันดับ 1 ใน Amazon.com เพื่อต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของ NRF บนแฟลตฟอร์ม E-commerce ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ต่อเนื่อง และเป็นการเพิ่มโอกาสในการเสนอขายสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์อื่นๆ แก่กลุ่มลูกค้าเดิม และสามารถต่อยอดไปสู่แผนการลงทุนในอนาคต เช่น การรับจ้างเป็นผู้ผลิตสินค้า (OEM) รวมถึงการต่อยอดธุรกิจ V-shape เป็นต้น
โดย คุณแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF บอกว่า การรุกแพลตฟอร์ม E-commerce ในครั้งนี้ จะทำให้ NRF สามารถสร้าง NRF Online Community ที่มีฐานข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งยังจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าผ่านช่องทาง E-Commerce เป็นสัดส่วน 50% ของรายได้ทั้งหมดภายใน 3 ปี
เดินเกมซื้อกิจการ ดันรายได้ออนไลน์แตะ 50%
สำหรับทิศทางการรุกตลาด E-Commerce ของ NRF หลังจากนี้ คุณแดน บอกว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์เข้าซื้อกิจการในบริษัทที่จำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Amazon.com อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาดีล คาดว่าปีนี้จะได้เห็นประมาณ 5 ดีล โดยจะเน้นเข้าลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่ม Ethnic Food, Plant-Based Food, Functional Product โดยจะคัดเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องมียอดขายที่ดีในระบบ E-Commerce ของ Amazon และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง
“ในช่วง 3 ปี เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจ E-commerce ดังนั้น เราต้องเข้าซื้อกิจการที่เป็นเบอร์ 1 และ 2 ในแต่และอุตสาหกรรมให้เร็ว เพราะจะช่วยให้เราได้ฐานลูกค้า และมีคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง พร้อมๆ กับสร้างรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด” คุณแดน ให้เหตุผลถึงการเลือกใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการ
ขณะเดียวกัน ยังร่วมกับสตาร์ทอัพ IKOBAI.com ในการพัฒนาตู้คีออสเพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถซื้อสินค้าของ Amazon ได้ง่ายขึ้น และเป็นช่องทางหนึ่งที่จะแก้ Pain Point ผู้บริโภคที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและกลัวการซื้อของออนไลน์ ได้เข้าถึงการซื้อสินค้าได้มากขึ้น โดยเบื้องต้นจะวางตู้คีออสใน Quick Service ปัจจุบันมีให้บริการแล้วกว่า 20 ตู้ โดยตั้งเป้าขยายให้ได้ 100 ตู้
โดยในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จากการขายเติบโต 20% จากปี 2563 ที่มีรายได้จากการขาย 1,408 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตผ่าน 3 ธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารโปรตีนจากพืช (Plant-Based Food) ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นแตะ 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 8% หลังมีกระแสความนิยมการบริโภคทั้งใน สหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย นอกจากนี้ จากแผนงานดังกล่าวจะสนับสนุนเป้าหมายรายได้แตะ 3,000 ล้านบาท ในปี 2567 ได้เร็วกว่าที่วางไว้